Skinpress Rss

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฉีดไขมันแก้ไขแก้มตอบ (Lipofilling)


สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูทุกท่าน

พวงแก้มที่อวบอิ่ม ทำให้แลดูใบหน้าอ่อนเยาว์และมีสุขภาพที่ดีได้น่ะนะคะ สำหรับเพื่อน ๆ บางท่านที่มีปัญหา แก้มตอบ ไม่ว่าจะด้วยจากรูปหน้าเอง หรือจากการที่อายุมากขึ้น ทำให้ใบหน้าโดยรวม แลดูอิดโรย ไม่แจ่มใส หรือดูมีอายุมากกว่าวัยที่แท้จริง ก็คงนึกอยากจะให้มีวิธีที่ช่วยให้แก้มดูอวบอิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่มีอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด และด้วยนวัตกรรมทางด้านความสวยความงาม และเทคนิคทางการแพทย์ ทำให้ปัีจจุบันนี้ เรามีวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับการที่มีแก้มตอบ หรือ หน้าตอบได้ไม่ยากค่ะ



ฉีดไขมัน แก้ไขแก้มตอบ

หนึ่งในวิธการแก้ไขปัญหาแก้มตอบ หรือปัญหาหน้าตอบ ก็คือการฉีดไขมันเข้าไปแก้ไขอาการแก้มตอบ (Lipofilling) นั้นนั่นเอง


การฉีดไขมัน เข้าไปที่แก้ม หรือที่ศัพย์ทางการแพทย์นั้นเรียกว่า การทำ Lipofilling จะช่วยให้แก้มที่ดูตอบนั้นอิ่มเอิบขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลได้อย่างชัดเจนค่ะ โดยไขมันที่นำมาฉีดนั้น ก็ไม่ใช่ของใครอื่น แต่แพทย์จะนำมาจากตัวของผู้มารับการรักษา โดยสามารถดูดได้จากหลายตำแหน่งในร่างกาย เช่น บริเวณหน้าท้อง, ต้นขา,น่องด้านหลัง ฯลฯ จากนั้น ก็จะนำมาผ่านการเตรียมการที่ถูกต้อง จนได้เซลล์ไขมันที่สามารถฉีดเข้าบริเวณแก้มได้โดยตรง




การฉีดไขมันเพื่อแก้ไขอาการแก้มตอบนั้น ถือว่าเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูงมากวิธีหนึ่งค่ะ เพราะเป็นเนื้อเยื่อของตัวเอง ดังนั้น จึงหมดห่วงเรื่องของอาการแพ้ นอกจากนั้น ยังไม่ต้องกังวลว่าไขมันที่ฉีดเข้าไปจะไหลไปตามบริเวณข้างเคียงหรือทำให้ผิวหนังแข็งเป็นก้อน ๆ ด้วย

ขั้นตอนของการฉีดไขมันเข้าแก้ม (Lipofilling) มีดังต่อไปนี้

1. เริ่มจากการเตรียมไขมันที่จะนำมาใช้ฉีดเสียก่อน โดยแพทย์จะทำความสะอาดบริเวณที่จะดูดไขมัน จากนั้นจะฉีดน้ำเกลือผสมยาชาเพื่อให้ไขมันในตำแหน่งที่จะดูดละลายเป็นน้ำมากขึ้นทำให้ดูดได้ง่ายและสะดวกขึ้น โดยทั่วไปแพทย์จะดูดไขมันออกมาให้เพียงพอที่จะฉีด ซึ่งมักจะไม่เกิน 100 ซีซี แล้วนำไขมันที่ได้มาเตรียมเพื่อให้พร้อมสำหรับใช้ฉีดต่อไป

ด้วยวิธีนี้บางท่านก็อดเป็นกังวลเรื่องแผลที่เจาะดูดไขมันออกมาไม่ได้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะแผลจะมีขนาดเล็กมาก กว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร (ประมาณเท่าหัวไม้ขีด) เท่านั้นเอง โดยแพทย์จะเย็บปิดแผลเพียง 1 เข็ม ก่อนจะปิดด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าพันแผล ส่วนบริเวณที่ดูดไขมัน เมื่อหายบวมแล้วจะไม่มีรอย ไม่เป็นคลื่นหรือไม่เป็นรอยบุ๋มของผิวให้ต้องหงุดหงิดหัวใจค่ะ

2. เมื่อไขมันที่จะใช้ฉีดถูกเตรียมพร้อมแล้ว ก็ต้องเตรียมคนไข้ให้พร้อมด้วย โดยแพทย์จะให้ยานอนหลับที่มีฤทธิ์สั้น เพื่อให้คนไข้คลายความวิตกกังวล และเมื่อฉีดยาขาบริเวณแก้มที่จะเติมไขมันจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ จากนั้นแพทย์จะฉีดเติมไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของแก้มในตำแหน่งที่กำหนดไว้ โดยแผลที่ฉีดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ แต่ส่วนมากแล้วบริเวณแก้มที่ฉีดจะมีรอยแผลเล็ก ๆ ของรูเข็มเพียงด้านละ 1 รอยเท่านั้น

หลังการฉีดไขมันแก้ไขแก้มตอบ คนไข้จะต้องนอนพักประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ เพื่อให้ยานอนหลับหมดฤทธิ์ดีเสียก่อน จากนั้นแพทย์จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากฉีดไขมันเข้าที่บริเวณแก้มแล้ว โดยธรรมชาติไขมันจะหดตัวหรือลดจำนวนลงประมาณ 30-50% น่ะนะคะ ดังนั้น นอกจากแพทย์จะเติมไขมันตามที่ต้องการแล้ว ยังต้องเพิ่มเติมส่วนที่จะลดลงเผื่อเอาไว้ด้วย ทำให้แก้มในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก จะดูใหญ่กว่าที่ต้องการได้ แต่หลังจากนั้นแก้มจะค่อย ๆ ยุบตัวจนกระทั่งได้แก้มที่อวบอิ่มพอดีตามต้องการค่ะ :)




เรียบเรียงข้อมูลจาก kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ศัลยกรรมเสริมคาง

คาง  นั้นเป็นส่วนที่ต่ำที่สุดของใบหน้าน่ะนะคะ ความยาวของคางมีผลต่อความยาวและสัดส่วนของใบหน้า และความยื่นนูนของคาง ก็มีผลต่อรูปหน้าโดยรวม ว่าจะมีมิติเหมาะสมพอดีและสวยงามมากเพียงไร



กระดูกคาง เป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อรูปทรงของคางค่ะ ไม่ว่าจะเป็นกระดูกคางที่สั้น ยาว หรือยื่นนูน โดยมีส่วนที่เป็นผิวหนัง ไขมัน กล้ามเนื้อหุ้มเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง รูปร่างของคางที่เล็ก สั้น ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาจาก การเจริญเติบโตของกระดูกคาง การเสริมปรับรูปทรงรูปร่างของคางให้ยาวและได้รูปขึ้น จึงต้องใช้วัสดุมาขัดเกลาเพื่อเสริมแทนกระดูก ตามความเหมาะสม

ปัจจุบันนี้ัเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับความสวยงามนั้น สามารถครอบคลุมไปถึงการปรับรูปร่างของคางให้สวยงามขึ้นได้ด้วยเช่นกันค่ะ  โดยผู้ที่มีปัญหาคางสั้น (ขาดในแนวบนล่าง) จะทำให้ใบหน้าดูสั้น และ สัดส่วนของใบหน้า ส่วนล่างสั้นกว่า ใบหน้าที่มีสัดส่วนสวยงาม และการที่คางไม่มีความยื่นนูน (ขาดในแนวหน้าหลัง) หรือ คางลาดถอยมาด้านหลัง จะทำให้ใบหน้าส่วนล่าง ยุบ ถอยกว่าใบหน้าโดยรวม ทำให้ขาดมิติของส่วนล่างใบหน้า ปาก และ จมูก จะดูอูมยื่น สามารถได้รับการแก้ไขได้ด้วยการเสริมคางด้วยวัสดุทางการแพทย์ชนิดต่าง ๆ




วิธีผ่าตัดเสริมคาง นั้น มีด้วยกันสองวิธีค่ะ วิธีแรกคือ ทำการเสริมภายนอกปาก ซึ่งมักจะเป็นบริเวณใต้คาง และวิธีที่ 2 คือ การทำศัลยกรรมเสริมคาจากด้านในของปาก ตรงบริเวณเหงือกกับริมฝีปากล่าง ซึ่งวิธีที่ 2 จะเป็นที่นิยมมากกว่า เพราะทำให้ไม่เห็นรอยแผลในการผ่าตัด

ก่อนทำผ่าตัด แพทย์จะวัดสัดส่วนของคางเดิม และใบหน้าทั้งหมด แล้วทำการพิจารณาเปรียบเทียบกับ สัดส่วนใบหน้าที่สวยงาม โดยดูตำแหน่งของคางว่าจะเสริม จุดใดบ้าง และเพิ่มเท่าไร จึงจะเหมาะสม จากนั้นจึงนำค่าที่ได้มาใช้ในการเหลา ซิลิโคน ซึ่งต้องทำให้เข้ารูปพอดีกับฐานคางเดิม เมื่อได้ ซิลิโคนที่เหมาะสมแล้ว จึงนำไปผ่านการฆ่าเชื้อ โดยขั้นตอนนี้จะใช้เวลาในการเตรียมซิลิโคนประมาณ 30-45 นาที

หลังจากนั้น เป็นขั้นตอนการเตรียมทำความสะอาดบนใบหน้าและช่องปากค่ะ ก่อนทำการเสริมคาง แพทย์จะวาดเส้นแนวกึ่งกลางคาง ทำเครื่องหมาย ตำแหน่ง ขอบเขต คางที่จะแก้ไข เพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ชัดเจนแน่นอน จากนั้นจึงให้ยาชา บริเวณคางทั้งหมดจะรู้สึกชา แพทย์จะทำความสะอาดด้านในปากเพิ่มเติม สำหรับใช้เป็นแผลทางเข้าของซิลิโคน (แผลจะยาวประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร) หลังจากทำให้เกิดช่องว่างใต้กล้ามเนื้อ ตามแนวที่วางแผนไว้ ก็จะนำซิลิโคนที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เสริมเข้าทางแผลในปากโดยซิลิโคนชิ้นนี้จะไปอยู่ในเนื้อที่ว่างดังกล่าว วางอยู่บนกระดูกคางเดิม ตรงตำแหน่งที่ต้องการ ภายในช่องที่จำกัดพอดี ทำให้ไม่สามารถขยับไปมาหรือเคลื่อนที่ได้ หลังจากปรับแต่งรูปทรงซิลิโคนและตรวจสอบจน คางได้รูปทรงที่สวยงามแล้ว ก็จะทำการเย็บแผลปิดด้วยไหมละลาย ให้สนิทแน่น


การดูแลหลังการผ่าตัดเสริมคาง

1. นอนศีรษะสูง 2 วัน สามารถนอนตะแคงศีรษะได้ (ช่วยให้บวมน้อยและยุบบวมได้เร็ว)

2. ประคบเย็นตรงคางให้บ่อยที่สุด นาน 2 วัน หรือ จนกว่าจะยุบบวม (ช่วยให้บวมน้อยและยุบบวมได้เร็ว)

3. งดรับประทานอาหารเผ็ดจัด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ 7 วัน (ป้องกันไม่ให้เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้ามาก ทำให้บวมมากขึ้น)

4. ทำกิจวัตรประจำวันที่ไม่หนักได้ตามปกติ งดออกกำลังกายหนัก 10 วัน งดกิจกรรมที่อาจทำให้แผลเกิดความกระทบกระเทือนไปก่อน

5. สามารถ แปรงฟันได้ แต่ระวัง ไม่ให้กระแทกบริเวณแผล

6. ระวังการกระแทกบริเวณคาง หรือ นั่งค้ำดันคาง งดรับประทานอาหารที่ต้องเคี้ยว มีการขยับกรามมาก โดยเฉพาะในช่วง 3 สัปดาห์แรก (ป้องกันไม่ให้มีแรงมากระทบให้ซิลิโคนมากเกินไป จนอาจจะขยับ ก่อนที่จะติดแน่น) ถ้าเผลอถูกกระแทก ให้โทรติดต่อแพทย์

คนไข้จะใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1-2 อาทิตย์ จึงจะกลับไปทำงานได้ตามปกติน่ะนะคะ  ระหว่างนี้คนไข้ส่วนใหญ่จะรู้สึกตึงที่บริเวณแผลผ่าตัด ซึ่งอาการนี้จะค่อยๆ หายไปเองหลังผ่าตัด  และแม้ว่าคนไข้อาจจะประสบปัญหาบาดแผลบวมหรือปวด แต่อาการเหล่านี้ก็สามารถบรรเทาลงได้โดยการทานยาตามแพทย์สั่งน่ะนะคะ





เรียบเรียงข้อมูลจาก http://www.2plastic.com/sur/sur-chin.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ศัลยกรรมตัดกราม

ความนิยมเกี่ยวกับรูปหน้าที่เรียวบนนั้นไม่เคยตกสมัยค่ะ แต่สาวๆ ที่มีใบหน้าส่วนล่างบาน กว้าง เป็นเหลี่ยม ก็อย่าเพิ่งน้อยอกน้อยใจไป เพราะเดี๋ยวนี้ปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขด้วยการผ่าตัดตกแต่งมุมกรามทำให้เหลี่ยมที่กว้างใหญ่เล็กลง ที่เราเรียกกันติดปากทั่วไปว่า เหลากราม ใบหน้าจึงดูแคบเรียวและสวยงามขึ้นน่ะนะคะ




ปัจจุบัน การผ่าตัดกรามให้เล็กและได้รูปนิยมทำกันมากขึ้นค่ะ วิธีการนั้นก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน และส่วนใหญ่ได้ผลดี แต่ก่อนจะพูดถึงขั้นตอนการทำ มาทำความเข้าใจโครงสร้างของใบหน้าส่วนล่างที่ทำให้หน้าดูกว้างกันก่อน

โครงสร้างของใบหน้าส่วนล่างที่ทำให้หน้าดูกว้างประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือ ส่วนมุมของกระดูกขากรรไกรล่างยื่นออก และกล้ามเนื้อที่ใช้เคี้ยวอาหารที่เกาะบนส่วนมุมนั้นหนาตัวกว่าปกติ แต่ใช่ว่าในการผ่าตัดแพทย์จะตัดแต่งทั้งสองส่วนดังกล่าวไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะตัดแต่งเฉพาะส่วนที่เป็นกระดูกยื่นเท่านั้น เพราะกล้ามเนื้อที่เกาะอยู่จะหดตัวเล็กลงได้เองในภายหลัง จึงไม่จำเป็นต้องตัดแต่งอีก

สำหรับการผ่าตัดกรามให้เล็กลงโดยทั่วไปมีด้วยกัน 2 วิธี ค่ะ วิธีแรกเป็นการผ่าตัดภายนอกช่องปากโดยผ่าตัดผ่านผิวหนังบริเวณมุมกรามโดยตรง ส่วนวิธีที่สอง จะผ่าตัดในช่องปากโดยซ่อนแผลไว้บริเวณซอกเหงือกด้านหลังฟันซี่สุดท้าย

มาดูการผ่าตัดภายนอกช่องปากกันก่อนนะคะ วิธีนี้จะเปิดแผลโดยตรงบริเวณมุมกรามเข้าไปที่มุมกระดูกขากรรไกรทั้ง 2 ข้าง แล้วใช้เครื่องมือแพทย์ซึ่งเป็นเลื่อยเล็กๆ ตัดตามตำแหน่งที่ต้องการ แม้วิธีนี้จะฟังดูง่าย หลังผ่าตัดอาการบวมก็มีน้อยและแทบไม่ต้องดูแลอะไรมาก แต่ปัจจุบันความนิยมกลับลดน้อยลงเนื่องจากมีโอกาสกระทบกระเทือนต่อเส้นประสาทที่มาเลี้ยงมุมปากได้ชั่วคราว และที่สำคัญคือจะมีรอยแผลผ่าตัด (ประมาณ 2-3 ซม.) ทั้ง 2 ข้าง

ส่วนการผ่าตัดภายในช่องปาก แม้จะต้องอาศัยความชำนาญและเครื่องมือพิเศษที่สามารถเลื่อยกระดูกที่ต้องการตัดแต่งได้ในซอกแคบๆ กว่าวิธีแรก แต่นั่นมิใช่อุปสรรคสำหรับศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ที่สำคัญวิธีนี้จะผ่าโดยผ่านซอกเหงือกด้านหลังฟันกรามไปยังมุมกระดูกขากรรไกร จึงไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อมุมปาก อีกทั้งสามารถตัดแต่งได้ตลอดกระดูกขากรรไกร เนื่องจากสามารถเปิดแผลได้ยาวกว่าโดยไม่ต้องคำนึงถึงแผลเป็นทำให้ได้กระดูกรามที่โค้งเนียนขึ้นค่ะ




 การผ่าตัดกราม จากภายในช่องปากจะมีอาการบวม โดยเฉพาะในช่วง 5-10 วันแรก โดยระยะแรกที่มีอาการบวมมักจะอ้าปากไม่ได้มาก เนื่องจากมีความดึงตัวของเนื้อเยื่อรอบๆ ต่อมาอาการบวมจะค่อยๆ ทุเลาลงก็จะอ้าปากได้มากขึ้นเรื่อยๆ และเพื่อป้องกันข้อต่อเกิดอาการผิด ควรหมั่นอ้าปากเพื่อขยับข้อต่อขากรรไกรบ่อยๆ

นอกจากนั้นในช่วง 3-4 วันแรกอาจมีอาการปวดแผลบ้าง บางรายอาจมีอาการหูอื้อเล็กน้อย เนื่องจากแรงสั่นสะเทือนระหว่างผ่าตัด อาการเช่นนี้จะเป็นอยู่ชั่วคราว หลังจากนั้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ ใบหน้าก็จะเริ่มยุบบวมและเข้าที่จนกระทั่งได้รูปทรงใบหน้าตามต้องการ ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 4-6 สัปดาห์ หลังผ่าตัดค่ะ

แม้ว่าการผ่าตัดกรามจะช่วยแก้ไขรูปหน้าได้อย่างที่ต้องการ แต่กระนั้นก็ต้องอาศัยศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่พึงปรารถนานะคะ ดังนั้นควรหาข้อมูลและเลือกศัลยแพทย์หรือสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้จริง ๆ ก่อนตัดสินใจผ่าตัดค่ะ :)





เรียบเรียงข้อมูลจาก http://women.kapook.com/view1359.html
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต


วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ศัลยกรรมแก้ไขคางยื่น

คางยื่น  (Jutting chin) ก็คือภาวะที่ขากรรไกรส่วนล่างยื่นล้ำหน้าส่วนบน ไม่เพียงแค่คางจะดูผิดรูปร่างไม่สมดุลแล้ว ยังส่งผลให้ฟันล่างยื่นล้ำครอบฟันบนอีก เกิดส่วน crossbite หรือ อาการที่ฟันบนกับฟันล่างขบกันไม่พอดี ไม่เป็นลักษณะสมมาตร กล่าวคือฟันล่างอาจบิดเบี้ยวไปทางซ้าย หรือขวามากไป   สำหรับคนที่มีคางยาวโดยปราศจากอาการ crossbite นี้ ไม่เรียกว่า คางยื่น นะคะ แต่เรียกคนๆนั้นว่า คางยาวหรือ หน้ายาวแทน

สาเหตุของคางยื่นผิดปกตินั้นเกิดจาก ส่วนของกระดูกขากรรไกรล่างเจริญเติบโตมากเกินกว่าปกติค่ะ โดยลักษณะคางยื่นนี้มักเป็นกรรมพันธุ์ หากพ่อแม่ หรือบรรพบุรุษคางยื่นก็สามารถถ่ายทอดมาสู่ลูกหลานได้   คนที่มีคางยื่นบางรายก็มีสาเหตุมาจากวัยเด็กที่ชอบทำคางยื่นในการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันจนติดเป็นนิสัย หรือเกิดจากกล้ามเนื้อเชื่อมระหว่าง คางด้านบน-ล่างดึงตัวผิดปกติทำให้เกิดคางยื่น

การแก้ไขลักษณะของคางยื่น

 สำหรับเด็กในวัยกำลังโต อาจมีวิธีป้องกันอาการคางยื่นโดยการใช้ ทันตกรรมจัดฟันเข้าช่วย เพื่อหยุดการเติบโตของคางค่ะ  โดยทั่ว ๆ ไปแล้วเด็กจะหยุดเจริญเติบโตในช่วงอายุประมาณ 16-18 ปี แต่หากต้องใส่เหล็กดัดฟันจนถึงอายุดังกล่าวแล้ว เด็กคงลำบากไม่น้อย อีกทางเลือกที่ทำได้คือ จัดฟันหรือทำศัลยกรรมผ่าตัดกระดูกกรามหลังจากหยุดโตแล้ว ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจในแง่ความงามเช่นเดียวกัน

การทำศัลยกรรมจัดแต่งคางที่ยื่นออกมาให้เข้าที่ ค่อนข้างจะเป็นเรื่องยุ่งยากและใช้เวลานานน่ะนะคะ โดยจะต้องใช้วิธีตัดแต่งกราม คางช่วงล่าง เมื่อทำการตัดแล้ว กระดูกก็จะทำการเชื่อมเองด้วยตัวของมัน ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการปรับแต่งรูปคางหลาย ๆ อย่าง การตัดแต่งกรามให้เอนเข้าไปด้านในจะทำให้คางสั้นลงได้ และยังทำให้ใบหน้าดูเล็กลงด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ใบหน้าทั้งด้านข้างและด้านหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ขั้นตอนการทำศัลยกรรมกระดูกขากรรไกรหรือการแก้ไขคางยื่น มีดังนี้ค่ะ

ขั้นแรก จัดฟันก่อนทำศัลยกรรม

ขั้นตอนนี้ก่อนเข้ารับการผ่าตัดกระดูกกราม ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องจัดฟันเพื่อให้ฟันบน ล่าง และ ฟันซี่ด้านหลังๆ ขบกันได้สนิทหลังจากทำศัลยกรรมแล้ว โดยกว่าจะสามารถผ่าตัดกระดูกกรามได้ ขั้นตอนที่ 1 นี้มักกินเวลาถึง 6 เดือน หรือ 1 ปีทีเดียว

ขั้นตอนที่ 2 ศัลยกรรมผ่าตัดกระดูกกราม

ขั้นตอนผ่าตัดกระดูกกรามนี้ใช้เวลา ประมาณ 3-7 วัน

ขั้นตอนที่ 3 ทันตกรรมจัดฟันหลังผ่าตัดกระดูกกราม

หลังเสร็จขั้นตอน ศัลยกรรมผ่าตัดกระดูกกรามเรียบร้อยแล้ว ก็ยังต้องจัดฟันเพิ่มอีกครั้งน่ะนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อควบคุมการเคลือนไหวกรามที่เพิ่งผ่าตัดมาใหม่ และฟันด้วย ทั้งนี้การผ่าตัดแก้ไขลักษณะของคางยื่นควรปรึกษาทั้งทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการจัดฟัน และศัลยแพทย์ความงามอย่างละเอียดในเรื่องการผ่าตัดกระดูกรามค่ะ และควรหาคลินิกที่เชื่อถือได้ก่อนตัดสินใจจัดฟันและทำศัลยกรรมด้วยน่ะนะคะ







ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ศัลยกรรมแก้ไขปากยื่น

สำหรับผู้ที่มีลักษณะของ ใบหน้าด้านข้างไม่สวย คือมีลักษณะของปากที่ยื่นออกมามากกว่าส่วนอื่น หรืออีกนัยนึงสังเกตุง่าย ๆ ว่า ใบหน้าที่ดูจากด้านข้างแล้วส่วนล่าง ก็คือโครงหน้าบริเวณปากจะยื่นออกมามากผิดปกติ  ซึ่งลักษณะเช่นนี้จะทำให้ใบหน้าดูไม่สมส่วนน่ะนะคะ




การแก้ไขปัญหาปากยื่นลักษณะนี้ ผู้ที่ปากยื่นออกมาไม่มาก สามารถแก้ไขได้โดยการดัดฟันค่ะ แต่หากยื่นออกมามากอย่างเห็นได้ชัด โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะมีสาเหตุมาจาก เหงือกด้านล่างและด้านบนยื่นออกมาด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถแก้ไขได้โดยการดัดฟันเพียงอย่างเดียว ดังนั้นในกรณีนี้จะต้องทำศัลยกรรม ปากที่ยื่นออกมา โดยดันเข้าไปด้านหลังร่วมด้วยน่ะนะคะ ทั้งนี้การตัดสินว่าจะสามารถแก้ไขได้โดยการดัดฟันหรือ จะต้องทำศัลยากรรมปากนั้น ต้องปรึกษากับทั้งทัตแพทย์และแพทย์การศัลกรรมตกแต่งพร้อมกันค่ะ เพื่อให้ได้ทั้งความปลอดภัยและผลลัพย์ที่ดีกว่า

การเตรียมตัวก่อนและหลังการศัลยกรรมปากยื่น

ในเคสที่การทำศัลยกรรมปากที่ยื่นออกมานั้นจะต้องทำการดัดฟันพร้อมกันด้วย ก่อนอื่นคนไข้จะต้องพบทัตแพทย์และจะทำการปั้มลักษณะของฟันและเหงือกก่อนค่ะ แล้วจึงตรวจสอบบริเวณที่จะดันปากให้เข้าไป โดยจะใช้ลักษณะของฟันและเหงือกที่ได้จากการปั้ม มาทำการศัลยากรรมแบบ Mock Surgery ซึ่งเป็นการวางแผนก่อนการทำศัลกรรมจริง ว่ารูปปากจะออกมาในลักษณะไหน แล้วจึงทำการศัลยกรรมจริงภายหลังน่ะนะคะ




ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.naviclinicthai.com/contents/surgery/surgery_3.php
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

ศัลยกรรมปากบาง

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยู ทุกท่าน

ริมฝีปากนั้น จัดเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งที่มีเสน่ห์บนใบหน้าน่ะนะคะ การทำศัลยกรรมตกแต่งริมฝีปาก ให้มีรูปร่างเล็กบางสวยรับกับใบหน้าเพิ่มขึ้นนั้น ส่วนใหญ่มักจะนิยมกันในหมู่คนที่รักความสวยความงามที่มีริมฝีปากหนากว่าปกติ และกลุ่มคนที่มีริมฝีปากบนกับล่างหนาไม่เท่ากันค่ะ นอกจากนี้แล้วการผ่าตัดยังช่วยแก้ไขริมฝีปากที่ผิดรูปร่าง เช่น ริมฝีปากที่เป็นเนื้องอก ติดเชื้อ มีการอักเสบ หรือเป็นแผลเป็น จนทำให้เกิดความไม่มั่นใจได้อีกด้วย




โดยธรรมชาติแล้ว ริมฝีปากของคนเราควรจะมีรูปแบบของริมฝีปากที่ด้านบนหนากว่าริมฝีปากล่างค่ะ ในคนไข้บางรายที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดเพื่อปรับเปลี่ยนขนาดและความหนาบางของริมฝีปาก มักมีปัจจัยอื่นที่ผิดปกติร่วมด้วย เช่น การเรียงตัวของฟัีนด้านบนและด้านล่าง ความยาวของกระดูกรามบนและเหงือกที่ผิดปกติ ทำให้บางรายเมื่อยิ้มแล้วเห็นเหงือก หากทำการผ่าตัดทำริมฝีปากบาง ก็อาจทำให้เวลายิ้มแล้วเห็นเหงือกมากยิ่งขึ้น หรือบางรายที่มีฟันขนาดเล็กไปหรือใหญ่ไป ก็อาจจะต้ิองตรวจวัีดฟัน หรือไปทำการรักษาที่กระดูกกรามเสียก่อน


ขั้นตอนการผ่าตัดทำปากบาง

1. แพทย์จะเริ่มจากการทำความสะอาดใบหน้า ริมฝีปาก และช่องปากของคนไข้
2. จากนั้นศัลยแพทย์จะใช้วิธีการฉีดยาชาเฉพาะที่พร้อมทั้งให้ยานอนหลับอย่างอ่อนเพื่อลดความเจ็บปวดและช่วยลดความกังวลใจของผู้เข้ารับการผ่าตัด
3. ศัลยแพทย์จะทำแนวเส้นผ่าตัดทางด้านในและยาวตลอดริมฝีปาก จากนั้นจึงตัดเนื้อข้างในออกเป็นแนวยาวตามริมฝีปากเพื่อให้ปากได้รูปทรงสวยงาม โดยการผ่าตัดอาจจะทำทั้งริมฝีปากบนหรือล่างหรือทั้งสอง ขึ้นอยู่กับการตกลงกับศัลยแพทย์ก่อนผ่าตัด การทำเส้นแนวผ่าตัดข้างในริมฝีปากจะช่วยซ่อนบาดแผลจากการผ่าตัด ทำให้มองไม่เห็น
4. ศัลยแพทย์ทำการเย็บแผลด้วยไหมละลายโดยจะเย็บเก็บไว้ด้านในตลอดความยาวของริมฝีปากน่ะนะคะ

ระยะเวลาในการผ่าตัดและพักฟื้น 

ศัลยแพทย์จะใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ โดยหลังผ่าตัด คนไข้สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้เลย โดยส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-5 วัน จึงสามารถไปทำงานได้ตามปกติน่ะนะคะ แต่กว่าแผลจะยุบสนิทใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน

วิธีการดูแลหลังการผ่าตัดทำริมฝีปากบาง

หลังผ่าตัดทำริมฝีปากบาง อาจจะมีอาการบวมที่ริมฝีปากประมาณ 1-2 สัปดาห์ค่ะ โดยเฉพาะ 3 วันแรก ไม่ควรอ้าปากกว้าง พูดมาก หรือยิ้มกว้าง ๆ และเพื่อลดอาการบวมให้แผลผ่าตัดหายดีโดยไม่มีปัญหาตามมาหลังผ่าตัด ก็ควรปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้

1. ควรประคบด้วยความเย็นติดต่อกัน 48-72 ชั่วโมง และควรนอนให้ศรีษะสูงประมาณ 30-45 องศา
2. รับประทานอาหารที่เป็นน้ำ ๆ และทำความสะอาดช่องปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก เพื่อลดการสะสมของเศษอาหาร ซึ่งอาจเป็นเหตุให้แผลติดเชื้อ
3. งดกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อบาดแผล เช่น การเล่นกีฬา เป็นระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
4. เลือกรับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่ายและรสไม่จัดและงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
5. สามารถใช้ลิปสติกได้ 1 อาทิตย์หลังผ่าตัด
6. ควรงดการสูบบุหรี่ 3 อาทิตย์หลังการผ่าตัด






ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การแก้ไขจมูกคด

จมูกคด นั้น คือ การที่จมูกมีลักษณะงอ หรือบิดไปข้างใดข้างหนึ่ง และการที่มีผนังกั้นช่องจมูกคดนั้นนอกจากจะทำให้ใบหน้าดูไม่สวยงามแล้ว ยังทำให้เกิดอาการคัดจมูกข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้างหนึ่งได้ด้วยน่ะนะคะ นอกจากนั้นแล้ว อาจเป็นสาเหตุของการปวดในโพรงจมูก,ไซนัสอักเสบเรื้อรัง,โรคริดสีดวงจมูก, โรคของหูชั้นกลาง (เช่นการอุดตันของท่อยูสเตเชียน ทำให้มีหูอื้อ หรือ เสียงดังในหู), เลือดกำเดาไหล ได้อีกด้วย




การคด หรือ บิดเบี้ยวที่จมูกนั้น ไม่ได้หมายความว่า กระดูกที่จมูกบิดเบี้ยวเท่านั้นค่ะ ยังหมายความรวมถึง ผนังกั้นช่องจมูก บริเวณกระดูกอ่อนที่โพรงจมูก (ทั้งด้านบน และด้านล่าง) ดังนั้น ควรทำการตรวจเช็คอย่างละเอียด เพื่อรับการผ่าตัดแก้ไขได้ถูกจุด

วิธีการผ่าตัดแก้ไขจมูกคด

เพื่อให้รูปลักษณ์ภายนอกของจมูกมีความสวยงามนั้น แพทย์จะทำการผ่าตัดแก้ไขโครงสร้างจมูก และ ผนังกั้นช่องจมูกไปในเวลาเดียวกัน เพื่อให้ได้รูปจมูกที่ออกมาสวยงาม การผ่าตัดจะบอกได้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอกจมูกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการผ่าตัดผนังกั้นจมูก และการปรับแต่งโครงจมูกอีกด้วย

การผ่าตัดแก้ไขภาวะดังกล่าว ทำโดยการผ่าตัดผ่านช่องจมูก โดยจะไม่มีแผลหรือรอยผ่าตัดให้เห็นภายนอก ยกเว้นในรายที่ผนังกั้นช่องจมูกคดนั้นอยู่บริเวณด้านหน้ามาก อาจมีแผลเล็กๆ ที่ผิวหนังบริเวณผนังกั้นช่องจมูกทางด้านหน้าส่วนล่าง ซึ่งเล็กและแทบมองไม่เห็น การผ่าตัดนี้บางครั้งจะทำร่วมกับ การผ่าตัดรักษาโรคไซนัสอักเสบ หรือโรคริดสีดวงจมูกโดยวิธีการส่องกล้อง

การผ่าตัดนี้อาจใช้ยาชาเฉพาะที่ หรือวิธีดมยาสลบก็ได้ค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด ในกรณีที่ผ่าตัดโดยวิธีดมยาสลบ ผู้ป่วยจะต้องเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาล 1 วันก่อนผ่าตัด เพื่อวิสัญญีแพทย์จะได้เตรียมความพร้อมสำหรับการดมยาสลบในวันรุ่งขึ้นที่จะผ่าตัด คืนวันก่อนผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการตัดขนจมูกเพื่อเตรียมบริเวณที่จะทำการผ่าตัด แพทย์จะให้งดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืนเพื่อป้องกันการสำลักอาหารลงปอดเวลาดมยาสลบ

หลังผ่าตัดแก้ไขจมูกคด

1. จะมีวัสดุที่ใช้ในการห้ามเลือดอยู่ในโพรงจมูกทั้งสองข้างจึงต้องหายใจทางปากจนกว่าแพทย์จะเอาวัสดุห้ามเลือดออกน่ะนะคะ ซึ่งอาจทำให้คอแห้ง แสบหรือเจ็บคอได้ จึงควรจิบน้ำ และกลั้วคอบ้วนปาก เพื่อทำความสะอาดช่องปากและคอบ่อยๆ

2. ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บจมูกจากแผลผ่าตัดบ้างผู้ป่วยอาจมีเลือดปนน้ำมูกหรือน้ำลายได้บ้าง ในช่วงหลังผ่าตัดเสร็จใหม่ ๆ อาจจะมีไข้ หรือมีอาการบวม หรือรู้สึกติดๆ ขัดๆ ตึงๆคล้ายมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในโพรงจมูกหรือมีเสียงเปลี่ยนได้ซึ่งอาการดังกล่าวมักจะหายไปเองภายใน 1 สัปดาห์ผู้ป่วยไม่ควรดึงวัสดุห้ามเลือดในโพรงจมูกออกเอง เพราะอาจทำให้มีเลือดออกมากได้




การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด

หลังการผ่าตัด 1-2 วันแรกเยื่อบุจมูกอาจบวมมากขึ้น ทำให้อาการคัดจมูกมากขึ้นได้ดังนั้นจึงควรนอนศีรษะสูงโดยใช้หมอนหนุน หรือนอนบนที่นอนที่สามารถปรับความเอียงได้ อมและประคบน้ำแข็งบ่อยๆบริเวณหน้าผากหรือลำคอ ในช่วงสัปดาห์แรก เพื่อลดอาการบวมและเลือดออกบริเวณที่ทำผ่าตัด

ผู้ป่วยจะได้รับยาต้านจุลชีพ, ยาแก้ปวด, ยาลดบวม, ยาหยอดจมูกเพื่อห้ามเลือด, ยาลดบวม, ยาลดอาการคัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล และจะมีสายให้น้ำเกลืออยู่ที่แขน เมื่อผู้ป่วยรับประทานได้ดีพอควรแพทย์จะเอาสายให้น้ำเกลือออกผู้ป่วยสามารถรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล เมื่อจำเป็นได้ แพทย์จะนำวัสดุที่ใส่ไว้ในโพรงจมูกออกภายใน 1-2 วัน หลังผ่าตัดพยาบาลจะสอนให้ล้างทำความสะอาดช่องจมูกด้วยตนเอง เพื่อทำการล้างจมูกต่อที่บ้าน ซึ่งโดยทั่วไปประมาณ 2 วัน หลังจากที่แพทย์เอาวัสดุห้ามเลือดออกแล้ว และไม่มีเลือดออกที่ผิดปกติ ผู้ป่วยควรล้างจมูกทำความสะอาดโพรงจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่น วันละ 2 – 4 ครั้ง

แพทย์จะให้ผู้ป่วยพักรักษาตัวที่บ้านประมาณ 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติค่ะ แต่ควรหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรงๆ การแคะจมูกหรือการกระทบกระเทือนบริเวณจมูกการออกแรงมาก การเล่นกีฬาที่หักโหม หรือยกของหนักหลังผ่าตัดเพราะอาจทำให้มีเลือดออกจากแผลที่เยื่อบุจมูกได้ ถ้ามีเลือดออกจากจมูกหรือไหลลงคอ ควรนอนพัก ยกศีรษะสูง หยอดยาหยอดจมูกเพื่อห้ามเลือดที่แพทย์สั่งไว้ให้ 3-4 หยดในโพรงจมูกแต่ละข้างนำน้ำแข็งมาประคบบริเวณหน้าผากหรือคออมน้ำแข็งเพื่อให้เลือดหยุด การประคบ หรืออมน้ำแข็งควรประคบหรืออมประมาณ 10 นาที แล้วจึงเอาออกประมาณ 10 นาทีแล้วค่อยประคบหรืออมใหม่เป็นเวลา 10 นาที ทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อยๆถ้าเลือดออกไม่หยุดหรือออกมากผิดปกติ เช่น เป็นถ้วยแก้ว ควรรีบมาโรงพยาบาลทันที

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการผ่าตัด

บริเวณที่ผ่าตัดติดเชื้อ, การมีเลือดออกในเยื่อบุผนังกั้นช่องจมูกถ้ามีการติดเชื้อเกิดขึ้น อาจมีการยุบตัวของผนังกั้นช่องจมูกทำให้ดั้งจมูกยุบ, การเกิดอาการชาที่ริมฝีปากบนบริเวณฟัน 4 ซี่หน้า หากเกิดขึ้น อาจเป็นเพียงชั่วคราวแล้วค่อย ๆ หายไปเองใน 1 – 2 เดือน หรืออาจเป็นถาวรหากมีการกระทบกระเทือนมากนอกจากนี้ยังอาจเกิดรูทะลุของผนังกั้นช่องจมูก ซึ่งมองไม่เห็นจากภายนอกและส่วนใหญ่ไม่มีอาการใด ๆ  ส่วนน้อยผู้ป่วยอาจมีน้ำมูกแห้ง ๆ เกาะบริเวณรูที่ทะลุบ่อย ๆจนอาจมีเลือดกำเดาออกเป็นครั้งคราว และในบางรายอาจได้ยินเสียงลมวิ่งผ่านรูทะลุเวลาหายใจ หากมีอาการก็สามารถทำผ่าตัดเพื่อปิดรูทะลุดังกล่าวได้ แต่ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้พบได้น้อยมาก ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะกลับบ้านได้ หลังผ่าตัด 3-4 วัน น่ะนะคะ

การนัดตรวจหลังออกจากโรงพยาบาล

ปกติแพทย์จะนัดมาดูอาการ และดูแผลผ่าตัดในจมูก ทำความสะอาดในโพรงจมูก1 สัปดาห์หลังผ่าตัด และห่างขึ้นเป็นระยะ เช่น ทุก 2 สัปดาห์, 1 เดือน, 3 เดือน, 6 เดือน จนกว่าจะหายดีค่ะ







ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

การดูแลรักษาหลังการฉีดฟิลเลอร์เสริมจมูก

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูทุกท่าน

หลังจากที่เราได้ไปทำการ ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อรับรูป จมูำก ให้สวยขึ้น โด่งขึ้น มีสันจมูกเข้ารูปเหมาะกับใบหน้ามากขึ้นแล้ว การดูแลรักษาตนเองเพื่อให้ผลของการรักษานั้นอยู่ไปได้นาน ๆ คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปก็ดูเหมือนจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราควรคำนึงถึงด้วยน่ะนะคะ




จริง ๆ แล้วการดูแลรักษาหลังจากฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปจมูก ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแต่อย่างใดค่ะ เนื่องจากวิธีการเสริมจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์นั้น ไม่มีแผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดแต่อย่างใด มีเพียงรอยเข็มเล็ก ๆ เพียงไม่กี่รอยเท่านั้้น ซึ่งคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้ได้ให้คำรับรองเอาไว้ว่าบางเคส แค่ 3 ชั่วโมง รอยเข็มก็หายแล้ว แต่หากจะให้ผลของการฉีดอยู่ไปนาน ๆ ก็คงต้องดูแลเพิ่มเติมอย่างเคร่งครัดดังนี้ค่ะ

1.48 ชั่วโมงแรก ไม่ควรออกกำลังกายให้เหงื่อออกมาก หรือไปตากแดดร้อนๆ เพราะอาจทำให้เกิดรอยแดงมากขึ้นบริเวณที่ฉีด

2. ไม่ควรไปนวดหน้า ขัดหน้า เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังฉีด (ทางที่ดีถ้าจะต้องทำก็ควรรอก่อนสัก 4 สัปดาห์จึงจะดีที่สุด)

3. ควรดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำ สม่ำเสมอ และดื่มในปริมาณที่มากพอ เพราะฟิลเลอร์นั้นเป็นสารอุ้มน้ำ การดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้ฟิลเลอร์ที่ทำการเติมเต็มเข้าไปนั้นอยู่ได้นาน ๆ ไม่สลายไปไวก่อนเวลาที่มันควรจะเป็นน่ะนะคะ :)




ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ขั้นตอนการเสริมจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์

การเสริมจมูก เป็นการทำศัลยกรรมที่นิยมกันมากที่สุดวิธีหนึ่งหนึ่งในแถบเอเชียน่ะนะคะ เนื่องจากโครงหน้าของชาวตะวันออก มักจะมีจมูกที่ไม่เป็นสันโด่งสวยงาม เหมือนทางตะวันตก ซึ่งวิธีการเสริมจมูกก็ได้พัฒนาขึ้นหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเสริมจมูกด้วยการผ่าตัด หรือวิธีการเสริมจมูกโดยไม่ผ่าตัด นั่นก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ นั่นเองค่ะ




ขั้นตอนของการเสริมจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์ นั้น แพทย์จะทำการทายาชาบริเวณจมูกแล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นก็จะทำการฉีดสารเติมเต็มชนิดนี้เข้าไปยังส่วนต่าง ๆ ของจมูก เช่นบริเวณสันจมูก ปลายจมูก เพื่อยกความสูงของจมูกขึ้นโด่งขึ้น แล้วทำการปั้นเพื่อขึ้นรูปจมูกให้แลดูสวยงามเหมาะกับโครงหน้าของคนไข้ ซึ่งใช้เวลาในการทำอีกไม่เกิน 30 นาที ก็ได้รูปจมูกที่สวยขึ้น เป็นธรรมชาติขึ้นแล้วน่ะนะคะ ที่สำคัญคือ ไม่เจ็บและไม่ต้องพักฟื้นนานแต่อย่างใดค่ะ




ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ข้อดี-ข้อด้อย ของการเสริมจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูทุกท่าน การเสริมจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือที่เราเรียกกันว่า การเสริมจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์ เป็นการเสริมจมูกที่ช่วยให้รูปทรงจมูกโด่งสวยขึ้นอย่างทันใจโดยไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้นนานน่ะนะคะ นอกจากนั้นแล้ว การเสริมจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์ ยังมีข้อดีอีกหลายข้อด้วยกัน เราลงอมาดูกันนะคะ ว่าจุดเด่นของการฉีดเสริมจมูกด้วยสารฟิลเลอร์นี้ มีอะไรบ้าง




1. ไม่ต้องผ่าตัด หรือพักฟื้นหลังทำค่ะ หลังทำสามารถไปทำงานได้ตามปกติ โดยไม่มีอาการบวมแดงหลังฉีดแต่อย่างใด

2. ให้รูปทรงจมูกที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น แม้ในคนที่เสริมจมูกด้วยซิลิโคนแท่งมาแล้วและไม่พอใจรูปทรงจมูก ก็สามารถมาจัดแต่งรูปทรงได้ตามต้องการ ใช้เติมแต่งแก้ปัญหาจมูกเบี้ยว เอียง หรือฉีดเสริมให้โด่งขึ้นได้

3. เนื่องจากการเสริมจมูกด้วยวิธีนี้ ไม่เจ็บมากค่ะ ดังนั้นจึงไม่ต้องวางยาสลบ หรือฉีดยาให้นอนหลับ เพียงแค่ทายาชาหรือฉีดยาชาก่อนทำเท่านั้น

4. ลักษณะจมูกดูเป็นธรรมชาติ สัมผัสได้เหมือนผิวหนังปกติ

5. ไม่ไหล ไม่เคลื่ือนที่ ไม่ต้องระวังเรื่องเบี้ยวเอียง

6. แทบจะไม่มีโอกาสแพ้ เนื่องจากไม่ได้ผลิตจากสัตว์เหมือนกลุ่มคอลลาเจน จึงไม่ต้องเทสต์ก่อนฉีด

7. โอกาสติดเชื้อหลังฉีดแทบไม่มีหรือมีน้อยมาก

8. เมื่อมีปัญหา สามารถสลายไปได้เอง ไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดออก หรือถ้าไม่พอใจ หรือเมื่อต้องการเปลี่ยนใจไปเสริมจมูกด้วยการผ่าตัดใส่แท่งซิลิโคน หรือกระูดูกอ่อน ก็สามารถฉีดให้สลายได้ด้วยสาร Hylauronidase ภายในไม่กี่วัน




ดูข้อดีของการ เสริมจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์ แล้ว ก็มาถึงข้อด้อยของการเสริมจมูกด้วยวิธีนี้กันบ้าง

1. เนื่องจากร่างกายเราสามารถดูดซึมสารฟิลเลอร์ได้ สารตัวนี้จึงสลายไปตามเวลาไม่คงทนถาวร ต้องฉีดซ้ำทุก 1 ปี เมื่อมีการยุบลงของจมูก

2. อาจพบจุดแดงๆ ช้ำเล็กๆ ตามรูเข็มฉีดยา

3. ต้องมีการฉีดเติมบ่อยๆ ทำให้เปลืองค่าใช้จ่าย





เรียบเรียงข้อมูลจาก http://www.clinicneo.co.th/
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต 

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เสริมจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์ : รู้จักกับฟิลเลอร์ให้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิด

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อก บิวตี้ฟอร์ยู ทุกท่าน

สารฟิลเลอร์ ที่ทางวงการแพทย์ใช้ในการแก้ไขจุดบกพร่องของรูปร่าง หรือหน้าตาคนเรานั้น มีหลายประเภทด้วยกันนะ่คะ แต่ที่จะพูดถึงกันในตอนนี้ เป็นสารที่คนรู้จักกันค่อนข้างดี เป็นที่นิยมใช้กัน และผ่านการยอมรับจาก อ.ย (องค์การอาหารและยา)ในบ้านเรา นั่นก็คือ สารที่เรียกว่าไฮยาลูรอนิก แอซิด หรือ ไฮยารูรอน นั่นเองค่ะ




ไฮยาลูรอนิก แอซิด เป็นสารประกอบน้ำตาลเชิงซ้อนที่มาเรียงต่อกันเป็นสายในผิวเราหนังของคนเราตามธรรมชาติจะมีสารนี้อยู่เป็นปกติ ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติในการดึงดูดน้ำ ทำให้ผิวหนังอิ่มเอิบ อวบอิ่ม มีความยืดหยุ่น และยี่ห้อที่ได้รับความนิยมใช้กันสูงสุดในต่างประเทศและบ้านเราก็คือ Restylane

เรสไทเลน นั้นทำจากไบโอเทคโนโลยีค่ะ โดยการสกัดเอาเฉพาะ ไฮยารูรอน จากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง แล้วนำมาทำให้เป็นเจลใส จากนั้นจึงทำการฆ่าเชื้อโรค เพื่อให้มีความปลอดภัยที่จะนำมาใช้กับมนุษย์ ซึ่งในปัจจุบัน สารกลุ่ม Restylane นี้ ได้มีการพัฒนาให้มีหลายรุ่นและหลายประเภทเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละปัญหา นอกจากนั้น เจ้าเรสไทเลนรุ่นหลังๆ นี้ก็มีการพัฒนาให้มีอายุให้นานขึ้น ซึ่งเราพอจะแบ่งประเภทของ Restylane ได้ตามขนาดของเนื้อเจลที่จะใช้กับส่วนต่างๆ ดังนี้นะคะ

Restylane : ตัวดั้งเดิม เหมาะสำหรับการฉีดเติมจมูกให้โด่งขึ้น เติมบริเวณขมับให้ดูเต็มขึ้น หรือรอยหลุมสิว รอยแผลเป็นต่างๆ จะมีอายุอยู่ได้นาน 4-6 เดือน

Restylane Touch : เหมาะกับสำหรับการเติมร่องตาลึกให้ดูเต็มขึ้น ลดรอยดำคล้ำรอบดวงตา อยู่ได้ประมาณ 1 ปี

Perlane : เหมาะกับสำหรับการปรับรูปหน้า ใช้เติมคาง เสริมจมูก ร่องแก้ม อยู่ได้นานประมาณ 10-12 เดือน

Restylane Lipp : เหมาะกับสำหรับการเติมริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม อยู่ได้ประมาณ 1 ปี

Restylane Subcutaneous: เหมาะกับสำหรับการเติมโหนกแก้ม ยกกระชับผิวหน้าให้เต่งตึง อยู่ได้ประมาณ 1 ปี

เรสไทเรน (Restylanne) นี้หลังฉีดจะให้สัมผัสเหมือนผิวหนังตามธรรมชาติค่ะ ดูนุ่มนวล ไม่แข็งจนเกินไป แต่ทั้งนี้ การฉีดสารเติมเต็มประเภทนี้ เพื่อแก้ไขรูปหน้า หรือข้อบกพร่องต่าง ๆ ของร่างกาย จะให้ผลดีมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของแพทย์ที่ทำให้ด้วย โดยทั่วไป การฉีดRestylane มักมีค่าใช้จ่ายคิดเป็นต่อยาหนึ่งหลอดน่ะนะคะ ซึ่งถ้าหากใช้ไม่หมดในครั้งเดียว แพทย์มักให้กลับมาฉีดเติมได้โดยใช้ยาหลอดเดิม ซึ่งก็จะเป็นของเราคนเดียวไม่สามารถใช้เข็มร่วมกับผู้อื่นได้ เพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคและโรคติดต่อที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ



ข้อมูลจาก http://www.p10surgery.com/
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เสริมจมูกด้วยการฉีดฟิลเลอร์ : ฟิลเลอร์คืออะไร

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยู ทุกท่าน

การเสริมจมูกให้ได้รูปสวยนั้น นอกจากจะสามารถทำได้ด้วยวิธีผ่าตัดเสริมวัสดุทางการแพทย์ ซึ่งเป็นวิธีที่เรียกว่าการเสริมจมูกแบบถาวรแล้ว ยังมีวิธีที่เราสามารถทำได้ด้วยการใช้เวลาเล็กน้อย ให้ผลเห็นชัดได้ทันที แต่ก็เป็นวิธีที่ไม่ถาวรอีกด้วยน่ะนะคะ

วิธีการ เสริมจมูกแบบไม่ผ่าตัด ซึ่งเป็นทางเลือกอีกวิธีหนึ่งนั้นก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ ค่ะ




ฟิลเลอร์คืออะไร? 

ฟิลเลอร์ก็คือ สารที่แพทย์นำมาใช้ในการตกแต่งแก้ไขข้อบกพร่องของ รูปหน้า รวมไปถึงรูปทรงจมูก สารฟิลเลอร์ที่ใช้กันในปัจจุบันมีมากมายหลายประเภทให้เลือกใช้ตามความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาในแต่ละจุดน่ะนะคะ โดยสามารถจัดแบ่งกลุ่มได้คร่าว ๆ ดังนี้

1. แบ่งตามสภาวะเวลาที่สารคงอยู่หลังฉีดเข้าร่างกาย เช่น เป็นสารชนิดถาวร ชนิดกึ่งถาวร และ ชนิดชั่วคราว

2. แบ่งตามสภาวะที่ร่างกายตอบสนอง คือ สารที่จะถูกร่างกายค่อยๆย่อยสลายไป และสารที่ไม่สามารถถูกย่อยสลายได้

3. แบ่งตามจุดกำเนิดของสาร คือสารนี้มีที่มาจากไหน จากตัวผู้รับการรักษาเอง จากมนุษย์คนอื่น จากสัตว์ หรือ จากแบคทีเรีย

4. แบ่งตามชนิดของโมเลกุลสารที่ประกอบเป็นตัวเจลฟิลเลอร์ เช่น คอลลาเจน, ไฮอาลูโรนิค แอซิด ตลอดจนซิลิโคน เป็นต้น

ในตอนหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราจะมาลงลึกถึงเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ ของการ เสริมจมูกด้วยฟิลเลอร์ กันต่อนะคะ

พบกันใหม่ในบิวตี้ฟอร์ยูครั้งหน้าค่ะ :)



เรียบเรียงข้อมูลจาก http://www.p10surgery.com/
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต 

การตัดปีกจมูก

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูทุกท่าน

นอกจากการ เสริมจมูก จะทำให้รูปหน้าของเรามีมิติ ส่งผลให้ภาพรวมของใบหน้าดูดีขึ้น สวยขึ้น หล่อขึ้นแล้ว การแก้ไขรูปจมูกอื่น ๆ นอกเหนือจากการเสริมจมูกให้มีความโด่งขึ้น ก็อาจเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำร่วมกับการเสริมจมูกค่ะ

การแก้ไขรูปจมูกที่ทางบล้อกบิวตี้ฟอร์ยูพูดถึง ก็คือ เรื่องของการ ตัดปีกจมูก นั่นเอง




การตัดปีกจมูก นั้น ถือเป็นการทำศัลยกรรมความงามอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในคนไข้ที่สนใจที่จะปรับแก้ไขรูปจมูกของตนให้เหมาะสมกับใบหน้าน่ะนะคะ เพื่อน ๆ หลาย ๆ ท่านที่มีรูปจมูกที่โด่งเข้ารูปอยู่แล้ว แต่อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับปลายจมูก ซึ่งมีลักษณะคล้ายลูกชมพู่ หรือบางท่านอาจจะเรียกว่าจมูกบาน ซึ่งปัญหาที่กล่าวมานี้ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการตกแต่งปีกจมูกให้เหมาะสมกับรูปหน้าขึ้น


การผ่าตัดปีกจมูก เป็นการตกแต่งบริเวณจมูกส่วนล่าง ให้มีความเหมาะสมกับบริเวณสันจมูกและจมูกส่วนบนค่ะ โดยแพทย์จะแก้ไขปีกจมูกที่ใหญ่ ตัดปีกจมูกที่กางและลดขนาดรูจมูกที่กว้างให้เล็กลง ซึ่งการผ่าตัดลดขนาดปีกจมูก โดยมากมักจะแก้ไขเฉพาะส่วนปีกจมูก จึงแทบมองไม่เห็นแผลเป็นเลยน่่ะนะคะ

การผ่าตัดปีกจมูกเป็นการผ่าตัดทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยากค่ะ วิธีการผ่าตัดปีกจมูก จะเริ่มจากแพทย์ จะให้ยานอนหลับที่มีฤทธิ์อ่อนเพื่อให้คนไข้คลายความวิตกกังวล จากนั้นจึงทำการฉีดยาชาเพื่อจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ ขั้นตอนต่อไปก็คือ ทำความสะอาดบริเวณที่จะผ่าตัดและในโพรงจมูกค่ะ ก่อนจะฉีดยาชาเฉพาะที่ บริเวณปีกจมูกแล้วจึงผ่าตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินออก รวมถึงจัดฐานปีกจมูก กำหนดความกว้างของรูจมูกใหม่ แล้วจึงเย็บปิดแผล ซึ่งขั้นตอนการผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที เท่านั้นเอง

หลังจากผ่าตัดปีกจมูก แพทย์จะให้ผู้มารับการรักษานอนพักที่ โรงพยาบาลประมาณ 1 ชม.ค่ะ เพื่อประคบบริเวณที่ผ่าตัดด้วยผ้าเย็น และรอจนกระทั่งยานอนหลับหมดฤทธิ์ จากนั้นจึงจะอนุญาตให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดกลับบ้านได้

การดูแลหลังการผ่าตัดปีกจมูก

ผู้เข้ารับการรักษาควรนอนศีรษะสูงและประคบด้วยผ้าเย็นเพื่อลดอาการบวมนะคะ ส่วนพลาสเตอร์ที่ปิดแผล สามารถแกะออกได้ในวันที่ 3 หลังผ่าตัด และให้ใช้ไม้พันสำลีป้ายยาหรือขี้ผึ้งปฏิชีวนะทาแผลผ่าตัดวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันแผลอักเสบติดเชื้อ นอกจากนั้นควรระมัดระวังไม่ให้แผลถูกน้ำ เพื่อให้แผลแห้งสนิทและหายได้เร็วขึ้น อย่าลืมไปพบแพทย์ตามนัด เพื่อตัดไหมด้วยค่ะ

การผ่าตัดปีกจมูกจะทำให้ผู้มารับการรักษามีจมูกที่สวยงามได้รูปทรงตามที่ต้องการ แต่ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและได้ผลการรักษาที่น่าพึงพอใจ  ก็ควรเลือกรักษากับศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานด้วยนะคะ :)




ข้อมูลจาก http://www.p10surgery.com/
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ หลังจากการเสริมจมูก

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยู ทุกท่าน

หลังจากที่เราเข้ารับการผ่าตัด เสริมจมูก และกลับมาพักฟื้นที่บ้าน นอกจากการดูแลและปฏิบัติตนตามที่แพทย์แนะนำโดยเคร่งเครัดเพื่อลดอาการบวม และลดระยะเวลาการพักฟื้นให้น้อยลงแล้ว หลังการผ่าตัดคนไข้ยังอาจจะได้รับผลข้างเคียงอันอาจเกิดขึ้นได้อีกด้วยน่ะนะคะ เรามาดูกันค่ะ ว่าผลข้างเคียงที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง

1. จมูกที่เสริมไว้เอียง ถ้าตรวจพบในระยะแรก เช่น 1-2 สัปดาห์แรก แพทย์อาจช่วยดัดให้เข้าที่ได้ แต่หากเกิดภายหลังจากช่วงดังกล่าว ซึ่งอาจเกิดจากการชนหรือกระแทกบริเวณจมูก จะไม่สามารถดัดให้เข้าที่ได้ง่าย คนไข้จึงต้องมักเข้ารับการผ่าตัดใหม่ค่ะ




2. จมูกอักเสบ เกิดขึ้นได้ ถ้ามีการติดเชื้อบริเวณที่ทำการผ่าตัด หรือบางครั้งเกิดจากการอักเสบผิวหนังบริเวณใกล้เคียง เช่น เป็นสิวบริเวณจมูก และมีหลายเคสที่มักเกิดจากการเสริมจมูกที่โด่งเกินไป ทำให้เกิดการแดงที่บริเวณปลายจมูก และเกิดการอักเสบตามมาน่ะนะคะ





ข้อมูลจาก http://www.p10surgery.com/
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ศัลยกรรมจมูก : การดูแลหลังการเสริมจมูก

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูทุกท่าน

หลังการผ่าตัดเสริมจมูก และเราได้กลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้วน่ะนะคะ เราก็จะต้องดูแลร่างกายและแผลที่ได้รับจากการเสริมจมูกนั้นให้หาย และคืนกลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว เพื่อจะได้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันอย่างเป็นปกติเหมือนก่อนเข้ารับการเสริมจมูกน่ะนะคะ

ในวันนี้บล้อกบิวตี้ฟอร์ยู ได้นำเอาข้อแนะนำในการดูแลหลังการเสริมจมูกมาฝากกันค่ะ ก็หวังว่าคำแนะนำในวันนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดเสริมจมูก หรือผู้ที่กำลังเตรียมตัวเข้ารับการเสริมจมูกบ้างนะคะ




การดูแลหลังการเสริมจมูก

1. ประคบผ้าเย็นหรือถุงน้ำแข็งประมาณ 24-48 ชม.ค่ะ หลังจากนั้นถ้ามีรอยฟกช้ำให้ใช้น้ำอุ่นประคบสลับกับน้ำเย็น
2. หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงคุณจะรู้สึกปวดศีรษะ ปวดบริเวณจมูก บวมบริเวณใบหน้าให้นอนหนุนหมอนสูงๆ พยายามอย่าให้แผลโดนน้ำ และทานยาตามแพทย์สั่ง
3. ทานอาหารได้ตามปกติ ยกเว้นอาหารรสจัด และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ ในช่วง 2 อาทิตย์แรก
4. จมูกจะบวมประมาณ 2-3 วัน และสามารถแกะพลาสเตอร์หรือเฝือกอ่อนที่ปิดแผลไว้ออกได้ โดยสามารถแกะออกได้ในวันที่ 3
5. หลังจากผ่าตัด 1 สัปดาห์คุณสามารถไปทำงานได้แต่ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างเช่น การวิ่ง การว่ายน้ำ การก้ม
6. การมีเพศสัมพันธ์ สามารถมีได้ 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัด
7. หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก การขยี้จมูก หรือถูกแดดเผาเป็นเวลา 8 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
8. ให้มาพบแพทย์หลังการผ่าตัดประมาณ 1-2 อาทิตย์ ตามที่แพทย์นัดโดยทั่วไปจมูกจะยุบบวมและเข้าที่ประมาณ 1 เดือน ดังนั้นคุณต้องระมัดระวังพอสมควรเรื่องการโดนกระแทก และควรอยู่ห่างเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงไว้ เพราะต้องรอเวลาเพื่อให้แท่งซิลิโคนถูกเนื้อจมูกห่อหุ้มให้แน่นมากๆ ก่อน (ประมาณ 1-3 เดือน) จึงจะสามารถทนแรงกระแทกได้มาก จากนั้นคุณก็จะสามารถกลับมาทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติค่ะ




เรียบเรียงข้อมูลจาก http://www.skinhospital.co.th/
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ขั้นตอนและวิธีเสริมจมูกแบบถาวร

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูทุกท่าน

การเสริมจมูกด้วยซิลิโคน (Medical Grade Silicone) หรือวัสดุทางการแพทย์อื่น ๆ ซึ่งเป็นการเสริมจมูกชนิดถาวรนั้น จะมีการผ่าตัดผ่านทางรอยผ่าตัดขนาดเล็กที่ด้านในของจมูกค่ะ ซึ่งแผลผ่าตัดนี้จะมองไม่เห็น โดยแพทย์จะเริ่มผ่าตัดโดยการออกแบบซิลิโคนให้เข้ากับรูปหน้าและโครงจมูกก่อน จากนั้นจึงเริ่มการเสริม โดยการทำแนวเส้นผ่าตัดที่ด้านในของโพรงจมูก บริเวณปีกจมูก เพื่อสร้างช่องว่างที่สันจมูก ใต้เยื่อหุ้มกระดูกจมูก จากนั้นจึงนำเอาซิลิโคนที่ทำการออกแบบไว้แล้วมาใส่ไว้บริเวณช่องว่างนี้ ก่อนทำการเย็บปิดแผล และปิดพลาสเตอร์หลาย ๆ ชั้น หรือใส่เฝือกอ่อน เพื่อช่วยพยุงรูปทรงของจมูก




ก่อนการเสริมจมูก นั้น จะมีการฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณรอบจมูกน่ะนะคะ แต่บางรายในกรณีที่ผู้ป่วยกลัว หรือตื่นเต้นมาก ๆ อาจจะใช้ยานอนหลับร่วมด้วย แต่ส่วนใหญ่ใช้ยาชาเฉพาะที่ก็เพียงพอแล้ว

หลังผ่าตัดเสริมจมูก สามารถกลับบ้านได้ทันทีค่ะ โดยแพทย์จะนัดมาดูอีกครั้ง 7 วันเพื่อตัดไหมและตรวจดูความเรียบร้อย




ข้อมูลจาก http://www.p10surgery.com/
ภาพประกอบจาก อิเตอร์เน็ต


ศัลยกรรมจมูก : เตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเสริมจมูก

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยู ทุกท่าน

หลังจากที่เพื่ีอน ๆ ที่สนใจการปรับโครงสร้างจมูกให้ได้รูปสวยด้วยการทำศัลยกรรมจมูก ได้ทำการเลือกคุณหมอและสถานพยาบาลที่จะให้บริการจนถูกใจแล้ว ก็คงจะมาถึงขั้นตอนการนัดเพื่อเข้ารับการทำศัลยกรรมจมูก ซึ่งในที่นี่จะขอเน้นไปในด้านการเตรียมตัว เพื่ีอทำการผ่าตัดเสริมจมูกแบบถาวร ด้วยวัสดุทางการแพทย์เป็นหลักน่ะนะคะ




โดยการเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการผ่าตัดเสริมจมูกนั้น มีข้อควรปฏิบัติและควรระวังดังต่อไปนี้

1.  หากเพื่อน ๆ เคยผ่าตัดตกแต่งจมูกมาก่อน ต้องแจ้งศัลยแพทย์ล่วงหน้า
2. โปรดแจ้งอาการแพ้ยา หากมีอาการแพ้ยาบางชนิด
3.  งดยาหรืออาหารเสริมที่ใช้ในปัจจุบันก่อนเข้ารับการผ่าตัด
4.  หากมีโรคประจำตัว ต้องแจ้งศัลยแพทย์ล่วงหน้า
5.  งดแอสไพริน (aspirin) ไอบิวโพรเฟน (ibuprofen) และวิตามินอี ล่วงหน้า 2 อาทิตย์ ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
6.  งดอาหารก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง แต่ไม่จำเป็นต้องงดน้ำ
7.  งดสูบบุหรี่ก่อนผ่าตัด 1 อาทิตย์ และหลังผ่าตัด 1 อาทิตย์
8.  ทำการนัดหมายกับศัลยแพทย์เพื่อขอรับคำปรึกษา เป็นการส่วนตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพื่อให้คนไข้ เข้าใจถึงวิธีการ ผลลัพธ์ และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น หลังผ่าตัด

ในตอนหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราจะมาดูขั้นตอนของการเสริมจมูกถาวร ด้วยวัสดุทางการแพทย์กันค่ะ




ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ศัลยกรรมจมูก : ก่อนการผ่าตัดเสริมจมูก

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยู ทุกท่าน

เมื่อเราตัดสินใจแล้ว ว่าจะทำการ เสริมจมูก เพื่อตกแต่งรูปทรงของจมูกของเราให้มีความเหมาะสมสวยงามรับกับใบหน้า เราก็ต้องมาคำนึงถึงทางเลือกของการผ่าตัดชนิดต่าง ๆ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเพื่อเสริมจมูกกันก่อนน่ะนะคะ




ในบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู ตอนที่ผ่าน ๆ มา ได้แนะนำในเรื่องราวของการเสริมจมูกด้วยวิธีต่าง ๆ กันไปแล้ว เช่น การเสริมจมูกด้วยวัสดุทางการแพทย์(แบบถาวร) การฉีดสารฟิลเลอร์เพื่อตกแต่งรูปทรงจมูก การใช้เนื้อเยื่อตัวเองในการเสริมจมูก หรือแม้แต่นวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อความงามซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ นั่นก็คือ การตกแต่งรูปจมูกด้วยการใช้ไหมละลาย




เมื่อเพื่อน ๆ ได้รับทราบข้อดี-ข้อด้อยของแต่ละวิธีแล้ว คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเพื่อน ๆ แล้วล่ะค่ะ ว่าต้องการเสริมจมูกแบบไหน มีวัตถุประสงค์อย่างไร (อยากเสริมเพื่อเปลี่ยนโครงจมูกของตัวเองแบบถาวร หรืออยากตกแต่งรูปทรงจมูกเพียงเล็กน้อยแบบไม่ถาวร) เมื่อเลือกได้แล้ว ก็นำข้อเปรียบเทียบในรายละเอียดของการเสริมจมูกในประเภทนั้น ๆ มาเปรียบเทียบกันหลาย ๆ ที่ เช่น พอใจกับผลงานของคุณหมอท่านไหน ชอบรูปทรงจมูกแบบไหน ค่าใช้จ่ายเรื่องวัสดุ ค่าโรงพยาบาล มีงบประมาณให้ในจุดนี้มากน้อยเท่าไหร่ ที่สำคัญที่จะทำให้ราคาแตกต่างกันมาก ๆ ก็คงเป็นในเรื่องของค่าแพทย์ ซึ่งราคาก็จะตั้งต้นตั้งแต่หลักพัน จนถึงหลักแสนเลยทีเดียว




นอกจากนี้แล้ว เรายังต้องวางแผนหลังการผ่าตัด/หลังการเสริมจมูกด้วยวิธีต่าง ๆ อีกด้วย ว่าวิธีที่เราใช้เสริมจมูกนั้น ต้องการระยะพักฟื้นมากน้อยเพียงไร จำเป็นต้องรีบกลับไปใช้ชีวิตประจำวันโดยเร็วหรือไม่ วิธีที่เราเลือกใช้นั้น เป็นอุปสรรคสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวันของเราแค่ไหน ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ที่สำคัญ หากเราไม่ชอบรูปทรงจมูกใหม่ เราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง

ในตอนหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราจะมาดู "ข้อควรระวัง" ก่อนการเสริมจมูก กันนะคะ

กลับมาติดตามบล้อกบิวตี้ฟอร์ยูได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ :)




ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

เรื่องน่าอ่าน