Skinpress Rss

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คิ้วตกและวิธีแก้ไขคิ้วตก


สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ สมาชิกบิวตี้ฟอร์ยู ทุกท่าน องค์ประกอบของใบหน้าที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความสวยงามสมบูรณ์อีกชิ้นหนึ่งก็คือ "คิ้ว" นั่นเองน่ะนะคะ

โบราณนั้นเคยมีคำกล่าวเอาไว้ว่า คิ้ว เปรียบเสมือนมงกุฎของใบหน้าค่ะ ดังนั้นผู้ที่มีลักษณะคิ้วที่ดี คือมีรูปร่างคิ้วที่สวยงาม มีความหนาของขนคิ้วที่พอดี และมีองศาของคิ้วที่เหมาะเจาะรับกับส่วนประกอบอื่น ๆ ของหน้า จึงเป็นผู้ที่มีความงามและเป็นผู้ที่ได้เปรียบกว่าผู้ที่มีลักษณะของคิ้วไม่สมบูรณ์แบบ

จริง ๆ แล้วปัญหาของคิ้วนั้นมีอยู่หลายประการด้วยกันค่ะ อาทิเช่น ปัญหาเรื่องของขนคิ้วบาง คิ้วไม่ได้รูป คิ้วสั้นหรือยาวไป และปัญหาที่มักจะกวนใจเพื่อน ๆ หลาย ๆ ท่านอยู่เช่นเดียวกันกับปัญหาอื่น ๆ ก็คือปัญหาเรื่องรูปร่างลักษณะของคิ้ว อย่างที่เราเรียกกันว่า "คิ้วตก"

คิ้วตก

คิ้วตกคือคิ้วลักษณะไหน คิ้วตก ก็คือ คิ้วที่มีตำแหน่งของปลายคิ้วต่ำกว่าตำแหน่งของหัวคิ้วค่ะ แนวคิ้วที่ตกนี้มักจะลาดเทออกทางด้านข้างของใบหน้า ทำให้หน้าดูเศร้าหมอง ซึ่งทางแก้โดยทั่วไปก็คือ การโกนคิ้วออกโดยโกนตั้งแต่ส่วนที่เริ่มทำองศาตก ไปจนถึงบริเวณหางคิ้ว จากนั้นจึงเขียนเองขึ้นใหม่ด้วยดินสอเขียวคิ้ว หรือเมื่อโกนขนคิ้วออกแล้วจะตัดสินใจทำคิ้วถาวรด้วยเลเซอร์ก็ได้

นอกจากวิธีที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คนที่มีลักษณะคิ้วตก ยังสามารถใช้วิธีการฉีดสารที่เรียกว่า โบท๊อกซ์ หรือ Botulinum toxin เพื่อยกคิ้วขึ้นได้บางส่วน ซึ่งผลของการฉีดโบท๊อกนี้ก็จะอยู่ได้ราว 4-5 เดือน ก่อนที่รูปของคิ้วจะค่อย ๆ ตกลงมาอีก ส่วนการฉีดฟิลเลอร์ซึ่งจะช่วยยกรูปของปลายคิ้วให้สูงขึ้นได้นั้นจะมีผลอยู่ได้นานกว่าการฉีดโบท๊อกซ์ค่ะ คือจะอยู่ได้ราว 8 เดือน-1 ปี ซึ่งทั้งสองวิธีที่กล่าวมานี้ ก็จะเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับคนที่กลัวการผ่าตัดน่ะนะคะ แต่หากว่ามีลักษณะของคิ้วที่ตกลงมาค่อยข้างเยอะ วิธีฉีดสารเข้าไปเพื่อยกระดับคิ้วอาจจะช่วยไม่ได้มาก ซึ่งก็อาจจะต้องหันมาพิจารณาในเรื่องของการผ่าตัดค่ะ ซึ่งวิธีการผ่าตัดก็มีให้เลือกทั้งแบบการผ่าตัดเล็ก ใ้ช้เพียงการฉีดยาชาเฉพาะที่ หรืออาจใช้การผ่าตัดแบบดมยาสลบก็ได้ ซึ่งวิธีการผ่าตัดนั้น ก็จะใช้การตัดผิวหนังบริเวณคิ้วที่มีปัญหานั้นแล้วเย็บผิวหนังติดกับเยื่อหุ้มกระดูกซึ่งอยู่ด้านในเพื่อยกรูปคิ้วขึ้นก่อนจะทำการเย็บปิด ซึ่งหากใช้วิธีฉีดยาชา ก็จะใช้เวลาประมาณข้างละครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ก็สามารถกลับไปดูแลพักฟื้นที่บ้านได้น่ะนะคะ



เีรียบเรียงข้อมูลและถอดความจาก youtube.com/watch?v=nqW1lIbNeOA
ภาพประกอบจาก  อินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แก้ไขหนังตาตกด้วยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด

อาการ หนังตาตก นั้น นอกจากจะทำให้การมองเห็นของลานสายตาลดลงแล้ว ยังทำให้ผู้ที่มีอาการแลดูมีอายุ เหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า และแก่กว่าวัยอีกด้วยน่ะนะคะ

ปัจจุบันนี้มีการ แก้ไขอาการหนังตาตก หลายวิธีด้วยกัน ทั้งการแก้ไขด้วยการศัลยกรรมตกแต่งหรือการผ่าตัด ไปจนกระทั่งถึงวิธีการแก้ไขด้วยวิธีที่เจ็บตัวน้อยกว่า และพักฟื้นน้อยกว่าอีกด้วย ซึ่งวิธีต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเหล่านั้นก็มีดังนี้ค่ะ

1. การแก้ไขอาการหนังตาตกด้วยการฉีดโบท็อกซ์ (BOTOX)

การฉีดโบท็อกซ์ นั้น ก็เพื่อคลายการทำงานของมัดกล้ามเนื้อที่ดึงเปลือกตาตกลงมาค่ะ ผลคือกล้ามเนื้อมัดนั้นจะถูกคลาย แล้วเปลือกตาจะเปิดกว้างขึ้น จึงช่วยแก้ปัญหาหนังตาตกได้ แต่โบท็อกซ์มีฤทธิ์อยู่ชั่วคราวน่ะนะคะ คืออยู่ได้ ประมาณ 6 เดือน และสามารถกลับมาฉีดซ้ำอีกหากต้องการ


2. การฉีดฟิลเลอร์ (Filler)

การฉีดฟิลเลอร์นั้น ก็คือการฉีดสารเติมเต็มที่มีความปลอดภัยเข้าไปบริเวณใต้รอยต่อตำแหน่งคิ้วค่ะ โดยแพทย์จะทำการฉีดแพทย์เพื่อดันให้หนังตายกขึ้นได้เล็กน้อย และผลของมันจะอยู่ได้ประมาณ 10 เดือน

3. การใช้ไหมละลาย

วิธีนี้จะใช้ไหมละลายร้อยบริเวณเหนือคิ้ว ซึ่งจะทำให้คิ้วและเปลือกตายกขึ้นได้นานกว่าสองวิธีแรก โดยผลของการร้อยไหมละลายจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี


4. การใช้เครื่องมือยกกระชับ

เครื่องมือที่สามารถช่วยยกกระชับผิวได้ เช่น Thermage หรือ Ulthera จะช่วยยกกระชับผิวหนังตาได้ค่ะ แต่แน่นอนว่าเมื่อระยะเวลาผ่านไป หนังตาก็จะค่อย ๆ กลับมาตกเช่นเดิม จึงต้องมีการทำซ้ำเมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้วน่ะนะคะ

จะเห็นได้ว่า วิธีการแก้ไขปัญหาหนังตาตกด้วยการไม่ผ่าตัดนั้น ล้วนเป็นวิธีแก้ไขชั่วคราว ที่เมื่อทำไปแล้วก็ต้องกลับมาทำซ้ำใหม่อีกค่ะ หากต้องการแก้ไขอาการหนังตาตกให้อยู่ได้นานหลายปีก็คงต้องพึ่งพาการแก้ไขด้วยวิธีการผ่าตัด ซึ่งแน่นอนว่า ก็ขึ้นอยู่กับปัญหาเฉพาะตัวของอาการหนังตาตกในคนไข้แต่ละรายด้วยน่ะนะคะ





ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดแก้ไขหนังตาตก



สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูทุกท่าน หลังจากที่เพื่อน ๆ ตัดสินใจเข้ารับการรักษาอาการหนังตาตกด้วยการผ่าตัดแล้วน่ะนะคะ เราจะมาดูกันค่ะ ว่าผลลัพท์ที่ได้หลังจากการผ่าตัดแก้ไขอาการหนังตาตกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง และควรดูแลตัวเองอย่างไรหลังเข้ารับการผ่าตัด


การ ผ่าตัดแก้ไขอาการหนังตาตก นั้น ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ ปกติแล้วเมื่อได้รับการรักษาอาการหนังตาตกด้วยการผ่าตัด ผลของการผ่าตัดนั้นจะอยู่ีได้ราว ๆ 5-10 ปี แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการผ่าตัดแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อตาตกข้างเดียว อาจจะไม่ 100% (เมื่อเทียบกับกรณีหนังตาที่ตกจากอายุ) คืออาจจะเห็นผลลัพธ์ประมาณ 80-90% เท่านั้น





ความเสี่ยง และ ภาวะแทรกซ้อน 

หากการผ่าตัดถูกดำเนินการโดยศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ ภาวะแทรกซ้อนแทบจะไม่เกิดขึ้น และ หากเกิดจะเป็นเพียงเลือดไหล, ติดเชื้อ และ อาการชา เท่านั้น คนไข้สามารถลดภาวะแทรกซ้อนโดยปฏิบัติตามคำสั่งก่อนและหลังของศัลยแพทย์ และการนัดตรวจดูอาการ ภาวะแทรกซ้อนเล็กอื่น ๆ เช่น อาการภาพซ้อน หรือเบลอ 2-3 วัน, หนังตาบวม, รอยแผล และอาการหลังผ่าตัดอาจหายไม่พร้อมกัน รอยเขียว หรือบวม จะเกิดมากน้อยตามแต่ละบุคคล (จะเกิดมากในช่วงอาทิตย์แรก และจะหายภายใน 2 สัปดาห์ หรือ หนึ่งเดือน) 

นอกจากนี้แล้วผลข้างเคียงและข้อแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังเข้ารับการรักษา ก็จะมีอาการบวมในช่วง 2-3 วันแรก ความเสี่้ยงอีกประการหนึ่งก็คือกรณีที่แพทย์ตัดหนังตาออกมากจนเกินไป หรือมีการเย็บรั้งสูงเกินไป อาจทำให้เกิดอาการตาเหลือกหรือหลับตาได้ไม่สนิท ดังนั้นจึงควรเลือกแพทย์ที่ชำนาญในการผ่าตัดแก้ไขอาการหนังตาตกไว้ก่อน  แม้ว่าปกติแพทย์จะให้คนไข้หลับตาและลืมตาให้ดูในระหว่างผ่าตัด ว่าสามารถหลับตาได้สนิทดี และมีปัญหาเรื่องตาเหลือกหรือไม่เพื่อจะได้แก้ไขได้อย่างทันท่วงทีก็ตาม 

ในกรณีที่ตัดหนังตาออกมากเกินไป อาจแก้ไขโดยการไปคลายกล้ามเนื้อออกส่วนหนึ่ง หรืออาจจะต้องหาหนังส่วนอื่นมาเสริมซึ่งวิธีการนี้ค่อนข้างยุ่งยาก ความชำนาญและการประเมินของแพทย์ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากเลยทีเดียวน่ะนะคะ

การดูแลตัวเอง หลังเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขหนังตาตก

1. หลังการผ่าตัดจะต้องประคบตาด้วยความเย็น ประมาณ 3 วันเพื่อลดอาการบวมช้ำ พยายามให้แผลแห้งอยู่ตลอดเวลา พยายามอย่าให้มีคราบเลือดติดอยู่ที่แผล
2. ไม่ควรยกของหนัก  หลังเข้ารับการรักษาในวันแรกไม่ควรขับรถ
3. ไม่ขยี้ตารุนแรง
4. โดยทั่วไปจะนัดตัดไหมประมาณ 5 วันหลังการผ่าตัด หลังจากนั้นก็สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
5. อาจจะรู้สึกบวม ตึงหนังตาบนบ้าง แต่อาการจะหายไปได้เองในที่สุดค่ะ



เรียบเรียงข้อมูลจาก http://www.mycosmeticbeauty.com
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิธีการแก้ไขและรักษาอาการหนังตาตกด้วยการผ่าตัด

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูทุกท่าน

สภาวะ หนังตาตก นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งความผิดปกติที่พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่น่ะนะคะ สาเหตุอาจเกิดจากความผิดปรกติของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นที่ยกหนังตา หรือเกิดจากเส้นประสาทที่เลี้ยงหนังตาผิดปรกติ รวมถึงอาจเกิดจากการที่มีก้อนบริเวณเปลือกตาทำให้หนังตามีการหย่อนยานมาปิดดวงตาได้


การเกิดสภาวะ หนังตาตก นั้นทำให้เกิดปัญหาในด้านความสวยงามและปัีญหาสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันอยู่พอสมควรค่ะ ในวัยผู้ใหญ่ เมื่อหนังตาตก ก็จะทำให้เราดูมีอายุมากขึ้น แลดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า เกิดการบดบังลานสายตาด้านบนจนต้องพยายามเบิ่งตาให้กว้างขึ้นเวลาเพ่งมองสิ่งต่างๆ หรือแม้แต่ในขณะอ่านหนังสือ จนในที่สุดอาจเกิดอาการปวดศรีษะ เนื่องจากต้องใช้กล้ามเนื้อหน้าผากในการช่วยยกหนังตาบนตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อมีอาการหนังตาตก เราจึงควรเข้ารับการแก้ไข เพื่อให้การมองเห็นกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมอีกครั้งน่ะนะคะ

วิธีการรักษาและแก้ไขอาการหนังตาตกนั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธีค่ะ นั่นคือ แก้ไขด้วยวิธีผ่าตัด และอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีที่ทันสมัยกว่าเดิมเป็นอันมาก นั่นก็คือการแก้ไขด้วยวิธีอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่วิธีผ่าตัด ซึ่งในวันนี้ บิวตี้ฟอร์ยู จะขอแนะนำวิธีการแก้ไขวิธีแรกกันก่อน นั่นก็คือ วิธีการแก้ไขหนังตาตกด้วยการผ่าตัดน่ะนะคะ

การ ผ่าตัดแก้ไขหนังตาตก นั้น ถือว่าเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเท่าใดนักค่ะ วิธีการเตรียมตัวของผู้เข้ารับการผ่าตัด ก็เหมือนกับการผ่าตัดทั่วไป ได้แก่ 

-แจ้งประวัติการแพ้ยา แจ้งชื่อยาหรืออาหารเสริมที่ใช้ในปัจจุบันก่อนเข้ารับการผ่าตัด
-หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หอบ โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแล และแจ้งแพทย์ ผู้ทำการผ่าตัดด้วย
-งดยาแอสไพริน ไอบิวโพรเฟน และวิตามินอี ประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
-งดสูบบุหรี่ก่อน-หลังผ่าตัด 2 อาทิตย์

กระบวนการผ่าตัด จะใช้วิธีึฉีดยาชาเฉพาะที่ ในกรณีที่ หนังตาตก ในลักษณะที่มีหนังบริเวณนั้นมากเกินไป หลังจากฉีดยาชาแล้วแพทย์จะใช้มีดกรีดเพื่อเปิดแผลบริเวณรอยพับของชั้นตา (ถ้าคนไข้ไม่มีความหย่อนคล้อยมากอาจใช้การเจาะเป็น 3 จุดเล็กๆ ก็ได้) และทำการตัดหนังส่วนเกินออกไป หากมีไขมันมากก็จะเลาะไขมันออกไปด้วย โดยมากมักจะมีการเลาะไขมันและกล้ามเนื้อออกไปบางส่วน 


ในการผ่าตัดแพทย์มักจะใช้เลเซอร์ CO2 ช่วยในการเลาะค่ะ ซึ่งการใช้เลเซอร์ช่วยจะทำให้การผ่าตัดทำได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น และยังช่วยให้เลือดออกน้อยลง ส่งผลให้เกิดอาการช้ำบวมน้อยกว่าการผ่าตัดธรรมดา


สำหรับการผ่าตัดคนไข้ที่มีกล้ามเนื้อตาตกข้างเดียว แพทย์มักจะทำการเย็บกล้ามเนื้อชั้นตาให้สูงขึ้นเพื่อให้ใกล้เคียงกับข้างที่ปกติ ความยากจึงอยู่ตรงที่ แพทย์จะต้องประเมินว่าจะต้องเย็บมากน้อยขนาดไหนเพื่อให้สองข้างพอดีกัน(การใช้เลเซอร์ช่วยในการผ่าตัดวิธีนี้ จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อได้ดีในระดับหนึ่ง) แผลผ่าตัดจะซ่อนอยู่ระหว่างรอยพับของชั้นตา หลังผ่าตัดคนไข้สามารถกลับบ้านได้เลย ไม่จำเป็นต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลน่ะนะคะ


ในตอนหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราจะมาดูผลลัพท์ที่ได้หลังจากการผ่าตัดแก้ไขอาการหนังตาตก และวิธีการดูแลตัวเองหลังเข้ารับการผ่าตัดน่ะนะคะ


แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ :)



เรียบเรียงข้อมูลจาก http://www.mycosmeticbeauty.com/
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต




วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปัญหาที่พบเมื่อเกิดสภาวะหนังตาตก


สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยู ทุกท่าน

เมื่อตอนที่แล้วของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราได้ไปทำความรู้จักกับสาเหตุของสภาวะหนังตาตก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นในเด็กและผู้ใหญ่กันไปแล้วน่ะนะคะ ในวันนี้เราจะมาดูกันค่ะ ว่าหากเกิดสภาวะหนังตาตกขึ้นแล้ว จะทำให้เราต้องผจญกับปัญหาสุขภาพและความสวยงามอย่างไรบ้าง

อันดับแรกก็คงต้องพูดถึงเรื่องของความสวยงามก่อนค่ะ ผู้ที่มีอาการ หนังตาตก นั้น จะทำให้ความสวยงามของใบหน้าลดลง ดูมีอายุ เหนื่อยและอ่อนล้า สำหรับคุณผู้หญิงก็ทำให้แต่งหน้าได้ยากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณตา




นอกจากนี้แล้ว หนังตาตก ยังเป็นปัญหาด้านสุขภาพด้วยค่ะ เนื่องจากบางคนหนังตาตกมาก จนทำให้ลงมาบดบังการมองเห็น บางรายเกิดอาการปวดศรีษะ เนื่องจากต้องใช้กล้ามเนื้อหน้าผากในการช่วยยกหนังตาบนตลอดเวลา ดังนั้นจึงมีความจำเป็นในการแก้ไขอาการหนังตาตกให้การมองเห็นกลับมาเป็นปกติมากขึ้นน่ะนะคะ

ในตอนหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราจะมาดูการ แก้ไขปัญหาหนังตาตก ด้วยวิธีต่าง ๆ กันนะคะ

เรื่องน่าอ่านในตอนที่แล้วของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู สาเหตุของหนังตาตก



ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

หนังตาตก


สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูทุกท่าน

จุดเด่นที่สุดบนใบหน้าที่ได้รับการกล่าวถึงกันอยู่เสมอนั่นก็คือ ดวงตา นั่นเองน่ะนะคะ ดวงตาเปรียบเสมือนหน้าต่้างของหัวใจเพราะเป็นส่วนที่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการเป็นเจ้าของดวงตาที่แจ่มใส สวยงาม และเหมาะกับองค์ประกอบบนใบหน้าจึงเป็นที่ต้องการของผู้คนทุกยุคทุกสมัย

แต่แม้เราจะเป็นเจ้าของดวงตาคู่สวย เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายซึ่งก็รวมถึงดวงตาด้วยก็ย่อมร่วงโรยไปตามวันเวลาและอายุค่ะ ดังนั้นดวงตาจึงพบกับปัญหาหลายประการทั้งปัญหาเรื่องความสวยงามที่ลดลง หรือแม้แต่ปัญหาสุขภาพที่ต้องแก้ไข

ในวันนี้บล้อกบิวตี้ฟอร์ยู จะขอแนะนำปัญหาอีกประการหนึ่งของดวงตาของเราเมื่อมีอายุมากขึ้น นั่นก็คือ ปัญหาภาวะ "หนังตาตก" นั่นเองค่ะ

หนังตาตก เป็นภาวะที่ขอบเปลือกตาตกมาอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าปรกติค่ะ ในภาวะปรกตินั้น เปลือกตาบนจะอยู่ต่ำกว่าขอบตาดำด้านบนประมาณ 1.5 มม. แต่เื่มื่ออายุมากขึ้นเปลือกตาบนกลับเกิดอาการห้อยหรือย้อยลงมาต่ำกว่าที่ควรเป็นมาก  ภาวะหนังตาตกอาจเป็นได้แต่กำเนิด หรือมาเกิดภายหลัง และสาเหตุการเกิด อาจเกิดจากความผิดปรกติของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นที่ยกหนังตา หรือเกิดจากเส้นประสาทที่เลี้ยงหนังตาผิดปรกติ รวมถึงอาจเกิดจากการที่มีก้อนบริเวณเปลือกตาทำให้หนังตามีการหย่อนยานมาปิดดวงตาได้


หนังตาตกแต่กำเนิดมักเกิดจากกล้ามเนื้อยกหนังตาเจริญเติบโตผิดปรกติ คือเจริญไม่เต็มที่ทำให้ทำหน้าที่ยกหนังตาขึ้นไม่ได้ แต่สำหรับภาวะหนังตาตกที่พบในผู้สูงอายุที่พบบ่อยที่สุดคือเกิดจากเส้นเอ็นของกล้ามเนื้อหย่อนยานตามอายุที่มากขึ้น

ปัญหาหนังตาตก ถ้าเกิดในเด็ก อาจก่อให้เกิดตาขี้เกียจ จากเปลือกตามาปิดการมองเห็น หรือเกิดจากเปลือกตาที่ตกทำให้เกิดปัญหาสายตาผิดปรกติ หากไม่ได้รับการรักษาระบบการมองเห็นจะไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่ ท้ายสุดเกิดเป็นตาขี้เกียจตามมา สำหรับในผู้ใหญ่หนังตาตาอาจทำให้บดบังลานสายตาด้านบน และมีปัญหาเวลาอ่านหนังสือ

ในตอนหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เมื่อเรารู้ว่าหนังตาตกเกิดจากอะไรแล้ว เราจะมาดูปัญหาจากการเผชิญภาวะหนังตาตกกันนะคะ แล้วกลับมาพบกันใหม่กับบิวตี้ฟอร์ยูในตอนหน้าค่ะ :)




เรียบเรียงข้อมูลจาก http://www.isoptik.com/isoptik/datas/eyecare1/eyecare29.php
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต




วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

การปฏิบัติตัวหลังเข้ารับการร้อยไหมละลายกระชับใบหน้า Fine Thread Lifting ( FTL )

การ ร้อยไหมละลาย กระชับใบหน้า หรือการทำ  Fine Thread Lifting ( FTL ) นั้น เป็นนวัตกรรมชะลอวัยที่ได้ผลค่อนข้างดีที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในวงการศัลยกรรมความงามน่ะนะคะ เนื่องจากเป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย และใช้ระยะเวลาพักฟื้นน้อย อีกทั้งยังเห็นผลชัดเจนและต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี ดังนั้น การร้อยไหมละลายกระชับใบหน้าจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการมีใบหน้าอ่อนเยาว์ และต้องการแก้ไขรูปหน้าให้สวยได้สัดส่วนอีกวิธีหนึ่ง




สำหรับผู้ที่ได้รับการผ่าตัดร้อยไหมละลายแล้ว ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดดังนี้ค่ะ


1.เวลานอน ให้นอนหงายนิ่งๆ  อย่าเผลอนอนคว่ำ นอนตะแคงให้ใบหน้าถูหมอนนะคะ เพราะคุณอาจรู้สึกเสียวไหมจนนอนไม่หลับ
     
2. ภายในสัปดาห์แรกหลังเข้ารับการรักษาด้วยการร้อยไหมละลาย ควรสัมผัสใบหน้าเบาๆ บางคนเผลอล้างหน้าแรงๆ ก็อาจรู้สึกเสียวไหมได้
     
3. ภายใน 2 สัปดาห์แรก ห้ามทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์นวดหน้าต่าง ๆ รวมทั้งว่ายน้ำ หรือโยคะด้วยนะคะ เนื่องจากการร้อยไหมนั้นมีรอยแผล เพียงแต่คุณมองไม่เห็น จึงควรป้องกันทุกกิจกรรมที่สร้างโอกาสให้เชื้อโรคซึมเข้าสู่ใบหน้าคุณได้ ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าค่ะ
     
4. การร้อยไหมละลายจะเห็นผลชัดเจนเต็มที่ ภายใน 6 เดือนแรกค่ะ ดังนั้นหากระยะแรกยังไม่เห็นผลของการร้อยไหมละลาย อย่าเพิ่งใจร้อนไปผ่าตัดทำศัลยกรรมใด ๆ ซ้ำอีกนะคะ ควรรอดูผลที่ชัดเจนของการร้อยไหมก่อนค่ะ

จะเห็นได้ว่านวัตกรรมเสริมความงามเพื่อชะลอวัย อย่างเช่นการร้อยไหมละลายกระชับใบหน้านี้ กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง แต่เมื่อมีข้อดีแล้วก็ย่อมมีข้อด้อยและข้อควรคิดอีกด้านหนึ่งด้วย ในตอนหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราจะมาดูข้อมูลอีกด้านของการร้อยไหมละลายกระชับใบหน้าด้วยกันนะคะ







ขอบคุณที่มา manageronline
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
คลิปประกอบจาก ยูทูป


   

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ขั้นตอนการร้อยไหมละลายกระชับใบหน้า

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยู ทุกท่าน

สำหรับหลักการการ กระชับใบหน้าด้วยการร้อยไหม นั้น ก็คือ การกระตุ้นให้บริเวณใต้ผิวหนังที่ร้อยไหมเข้าไป เกิดการอักเสบค่ะ ทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ และมีผลทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนรอบๆเส้นไหม จึงเกิดการยกกระชับมากขึ้น โดยจะเห็นผลครั้งแรกหลังทำทันที และเห็นผลได้ชัดเจนขึ้นในอีก 1-2 เดือนถัดมา โดยจะเห็นผลสูงสุดที่ระยะเวลาราว 3 เดือน และจากการที่ไหมไปกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมต่อเนื้อเยื่อให้มีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรง ทำให้เห็นผลยกกระชับที่เพิ่มขึ้น ที่สำคัญก็คือวิธีนี้ไม่ใช่การผ่าตัดน่ะนะคะ จึงไม่มีแผลขนาดใหญ่ อาจมีรอยมีดกรีดเล็กๆ หรือ บางแบบอาจมีแค่รอยเจาะของเข็มเพียงเล็กน้อย หลังทำจึงไม่ต้องพักฟื้นนาน แต่อาจมีรอยเขียวช้ำเกิดขึ้นได้ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น




ขั้นตอนของการ ร้อยไหมละลาย เพื่อ ยกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีดังนี้ค่ะ


1. จะมีการทายาชาบริเวณใบหน้าที่ต้องการยกกระชับไว้ราว ๆ  30-45 นาที และอาจต้องฉีดยาชาเฉพาะจุดในไหมบางชนิด เพราอาจจะมีอาการเจ็บได้เล็กน้อย

2. จากนั้นก็จะทำความสะอาดทั่วใบหน้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ และร้อยเส้นไหมเข้าไปยึดตามเนื้อเยื่อผิวค่ะโดยจะใช้วิธีร้อยเรียงเส้นไหมด้วยเทคนิคเฉพาะของไหมแต่ละชนิดในเวลาเพียง 30- 60 นาที

3. หลังจากร้อยไหมแล้ว อาจมีการเพิ่มแรงดันบริเวณใบหน้าด้วยการกดเบาๆ ทั่วๆ ใบหน้า ร่วมกับการประคบเย็น เพื่อห้ามเลือด เป็นเวลา 10-15 นาที

4. หลังรับการร้อยไหม คนไข้อาจได้รับยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ กลับไปรับประทานต่อที่บ้านประมาณ 1 อาทิตย์อาทิตย์น่ะนะคะ และผลของการรักษาจะอยู่ต่อเนื่องยาวนานได้ 1-2 ปีเป็นอย่างน้อย

เรามาดูคลิปตัวอย่างการใช้เทคนิคร้อยไหมละลายชะลอวัยจากคลิปวีดีโอกันนะคะ




ในตอนหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราจะมาดูคำแนะนำในการปฏิบัติตัวหลังจากการเข้ารับการร้อยไหมละลายกระชับใบหน้ากันค่ะ




เรียบเรียงข้อมูลจาก http://www.doctorskinhouse.com/magazine/
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
คลิปประกอบบทความจาก ยูทูป



ไหมดึงหน้าชนิดต่าง ๆ


สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยู ทุกท่าน

เมื่อตอนที่แล้ว บล้อกบิวตี้ฟอร์ยู ได้พาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับนวัตกรรมชะลอวัยชนิดใหม่ที่นอกจากจะให้ผลดี มีระยะพักฟื้นสั้นและสามารถคงผลการรักษาอยู่ได้ยาวนานหลายปีที่เรียกว่า การ ยกกระชับด้วยการใช้เส้นไหมละลาย (Ultra thread lift ) กันไปบ้างแล้วน่ะนะคะ


แต่ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับขั้นตอนการยกกระชับใบหน้าด้วยเทคนิคการร้อยไหมละลายกันเพิ่มเติม วันนี้บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับกับไหมดึงหน้าชนิดต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกนิดกันก่อนค่ะ





ปกติแล้วกลุ่มไหมที่นำมาใช้ในการผ่าตัดชะลอวัยนั้น จะแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกันค่ะ นั่นคือ

กลุ่มไหมถาวร

กลุ่มไหมถาวรนั้น เป็นที่นิยมใช้ในวงการศัลยกรรมความงามและศัลยกรรมทั่วไปมานานพอสมควรค่ะ แบ่งออกหลัก ๆ ได้เป็น 3 ชนิดด้วยกันคือ

1. Gold Thread (ไหมทอง) การร้อยไหมทองเพื่อกระชับผิวหน้านั้น จะเป็นการนำไหมที่ทำด้วยทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% ที่มีขนาดประมาณเส้นผม ร้อยเป็นลักษณะโครงตาข่ายในชั้นผิวหนังของเราค่ะ โดยทองคำจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น และมีการสร้างคอลาเจนขึ้นใหม่ แต่เพราะด้ายทองไม่มีปมหรือแง่งใดๆ จึงไม่มีผลในแง่ของ Machanic lifting มากนัก จึงต้องรอผลจากการกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซม และจะเริ่มเห็นผลเมื่อครบ 1 เดือนเป็นต้นไป โดยไหมทอง 1 เส้น จะมีความยาวตั้งแต่ 25 - 50 เซนติเมตรน่ะนะคะ ขณะทำก็จะตัดไปเรื่อยๆ ขณะร้อยเข้าไปในชั้นผิวหนัง ดังนั้น การร้อยไหมทั้งหน้า ก็จะใช้เพียงไม่กี่เส้น ข้อเสียของไหมทองคำ คือ ค่าใช้จ่ายสูงมาก หลังทำต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อน หรือทำทรีทเมนต์ต่างๆ และไม่เหมาะในผู้ที่แพ้โลหะค่ะ

2. Feather-Lift หรือ Aptos ® threads ไหมประเภทนี้เป็นอีกหนึ่งของไหมที่ไม่สามารถละลายได้ (monofiliment material - “polypropylene”) มีลักษณะเป็นรูปก้างปลาบั่งออกเป็นซี่ๆ จากตัวเส้นไหมเอง ปัจจุบันไม่นิยมแล้วนะคะ เพราะมักเกิดปัญหาในระยะยาว เช่น นานๆไปอาจมีแง่งไหมโผล่ออกจากผิว จนผู้เข้ารับการรักษาต้องไปผ่าเอาออก
       
3. Silhouette Lift ไหมประเภทนี้เป็นไหมที่ไม่สามารถละลายได้เช่นกันค่ะ ไหมมีการทำปมเป็นระยะๆ โดยระหว่างปมจะมีกรวยรูปร่างคล้ายไอศครีม ซึ่งจะถูกล็อคตำแหน่งไว้โดยปมข้างต้น เจ้ากรวยนี้ทำจากวัสดุเดียวกับไหมละลายไหมไม่ละลายแแบบนี้ มีใช้ทางการแพทย์มานานกว่า 50 ปี ในการผ่าตัดหัวใจ ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อมนุษย์ (Biocompatibility)


กลุ่มไหมประเภทที่สอง ก็คือ กลุ่มไหมละลาย ค่ะ

ไหมประเภทนี้จะเป็นไหม PDO (polydioxanone) ซึ่งเป็นไหมละลายที่ใช้ในการเย็บผนังเส้นเลือดหัวใจ จึงมีโอกาสแพ้น้อยมาก ไม่มีผลปฏิกิริยาต่อผิวหนัง ไหมละลายที่นำมาร้อยกระชับจะค่อยๆ ละลายไปภายใน 6-8 เดือน ไม่เหลือตกค้างให้เกิดผลข้างเคียงภายหลัง หลังการเข้ารับการรักษาผิวหย่อนคล้อยด้วยไหมประเภทนี้จะเห็นผลได้ทันทีหลังทำน่ะนะคะ นอกจากนั้นแล้ว ยังพบผลดีต่อเนื่องได้อีก คือขณะที่ไหมละลายอยู่ใต้ผิวหนัง ก็จะกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ (Local microcirculation) มีผลให้เกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจนรอบๆ เส้นไหม จึงเกิดการยกกระชับมากขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไป ผิวหน้าจะยิ่งดีขึ้น กระชับขึ้น และได้ผลต่อเนื่องนานถึง 12-18 เดือนเลยทีเดียวน่ะนะคะ

ในตอนหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราจะมาดู ขั้นตอนของการร้อยไหมละลาย เพื่อยกกระชับใบหน้าด้วยกันนะคะ


เรียบเรียงข้อมูลจาก http://www.doctorskinhouse.com/

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ยกกระชับผิวหย่อนคล้อย ด้วยการร้อยไหมละลาย (Ultra thread lift )

เมื่ออายุมากขึ้น ความเสื่อมสภาพของผิวหนังและกล้ามเนื้อทั่วร่างกายก็จะสังเกตได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะความหย่อนคล้อยของใบหน้าน่ะนะคะ

ในสมัยก่อนหน้านี้ วิธีการกระชากวัย หรือชะลอวัยนั้นมักจะเน้นไปในเรื่องของการผ่าตัดค่ะ ดังจะเห็นได้ว่ามีผู้ที่ต้องการชะลอความเหี่ยวย่นหรือหย่อนคล้อยของใบหน้าด้วยการผ่าตัดดึงหน้าอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แต่ปัญหาของผู้ที่เลือกใช้วิธีการผ่าตัดก็คือ การที่ผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องใช้เวลาในการพักฟื้นค่อนข้างนาน และมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก อีกทั้งยังมีราคาค่อนข้างสูงอีกด้วย จึงทำให้มีัการคิดค้นและพัฒนาวิืธีการชะลอวัยอื่น ๆ เพื่อนำมาใช้ในวงการแพทย์และความงามกันอย่างต่อเนื่อง

การ ยกกระชับด้วยการใช้เส้นไหมละลาย (Ultra thread lift ) จัดเป็นการยกกระชับอีกรูปแบบหนึ่งของการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ที่มีการทำมาหลายปีค่ะ โดยเริ่มแรกนั้น มีการยกกระชับด้วย ไหมทองคำ(Gold Thread) ซึ่งแม้จะมีข้อดีที่เกิดรอยช้ำหลังทำน้อย แต่มีข้อเสียที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก และทำได้เฉพาะบางจุดบางบริเวณ เช่น ใบหน้า คอ แขนเท่านั้น นอกจากนั้นหลังทำ ก็ต้องเลี่ยงการสัมผัสความร้อนหรือทำทรีทเม้นต์ต่างๆ ที่ใบหน้า ที่สำคัญการร้อยเส้นไหมทองคำ หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็ต้องผ่าตัดเอาไหมออกเพียงวิธีเดียว และไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสำหรับแพ้โลหะ เป็นต้นu



ปัจจุบันนี้ มีนวัตกรรมความงามใหม่ ที่เข้ามาช่วยให้ข้อด้อยของการใช้ไหมทองคำหมดไปค่ะ นั่นก็คือ การใช้เทคโนโลยี Ultra Thread Lifting ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วย ยกกระชับหน้า ใหม่ล่าสุด โดยใช้ ไหมละลาย ที่ผ่านรับรองจากองค์การอาหารและยาในต่างประเทศและในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว ไหมที่ใช้ เป็นไหมชนิด Polydioxanone(PDO) น่ะนะคะ ซึ่งเป็นไหมละลายที่ใช้ในการเย็บผนังเส้นเลือดหัวใจ จึงมีโอกาสแพ้น้อยมาก และไม่มีผลปฏิกิริยาต่อผิวหนัง โดยไหมละลายชนิดนี้จะค่อยๆ สลายไปภายใน 6 เดือน ไม่เหลือตกค้างให้เกิดผลข้างเคียงภายหลัง




Ultra Thread Lifting(UTL) นั้น นอกจากจะให้ผลดีโดยเห็นผลของการยกกระชับทันทีหลังทำแล้ว ยังพบผลดีต่อเนื่องได้อีกด้วยนะคะ นั่นคือขณะที่ไหมละลายอยู่ใต้ผิวหนัง จะทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนังที่ร้อยไหมเข้าไป จึงกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ (Local microcirculation) มีผลให้เกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจนรอบๆ เส้นไหม ทำให้ผิวเกิดการดึงรั้ง และตึงกระชับขึ้น จะเห็นผลได้อย่างชัดเจนในช่วง 6 - 12 เดือน และ เห็นผลต่อเนื่องได้นานถึง 1-3 ปีเลยทีเดียวค่ะ

ในตอนหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราจะมาดูกันนะคะ ว่าไหมละลายนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้อย่างไร :)

แล้วกลับมาพบกับบล้อกบิวตี้ฟอร์ยูได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ




เรียบเรียงข้อมูลจาก http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=639658829f7b7ac4&pli=1
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต



วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ผลข้างเคียง และอันตรายที่อาจได้จากโบท๊อกซ์

เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูทุกท่านคะ เมื่อตอนที่แล้วเราได้คุยกันถึงเรื่อง ด้านดีของการฉีดโบท๊อกซ์ เพื่อลดริ้วรอยและปรับแก้ไขรูปหน้ากันไปแล้วน่ะนะคะ แต่เหรียญก็ย่ีอมมีสองด้านเสมอค่ะ ดังนั้นในวันนี้เราจะมาเรียนรู้ถึง ผลข้างเคียง และอันตราย ที่อาจจะได้รับจากการ ฉีดโบท๊อกซ์ กันบ้าง


Botox

เมื่อเราตัดสินใจฉีดโบท๊อกซ์แล้ว หลังฉีด อาการแรกเราอาจเห็นเป็นตุ่มนูนแดงในบริเวณที่ฉีดอยู่ราวๆ 2 ชั่วโมงค่ะ บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะในวันแรก หรืออาจเกิดอาการหนังตาหรือคิ้วตก กลืนอาหารไม่สะดวกหากฉีดบริเวณลำคอ แต่จะค่อยๆ หายไปเองตามระยะเวลา ในขณะที่บางรายก็อาจมีการสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อโบท็อกซ์ ทำให้การฉีดไม่ได้ผล แต่จะมีผู้ที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นได้ไม่ถึงร้อยละ 3 - 5 น่ะนะคะ ซึ่งปฏิกิริยานี้มักจะเกิดกับผู้ที่เข้ารับการรักษาอาการกระตุก และต้องใช้โบท็อกซ์ในปริมาณมาก ดังนั้นอาจต้องเปลี่ยนมาใช้โบทูลินั่มชนิดบีแทน (Myobloc)
         
คำแนะนำในการใช้คือให้ฉีดทุกๆ 3 เดือนค่ะ และต้องฉีดในปริมาณที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเห็นผลได้ รวมถึงต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เท่านั้น
         
ข้อเท็จจริงและผลข้างเคียงของการฉีด โบท๊อกซ์ Botox ที่เราควรทราบ
         
1. โบท๊อกซ์ได้มาจาก ''Botulinum toxin" ซึ่งเจือปนอยู่ในอาหารที่เป็นพิษน่ะนะคะ เจ้าสารตัวนี้มีคุณสบบัติในการรบกวนคลื่นทางประสาท และเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้ออัมพาตและบางลง เมื่อมีการรักษาหลายครั้ง
2. โบท๊อกซ์มีผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อบริเวณที่ถูกฉีดค่ะ เช่น เปลือกตา และทำให้ปวดศีรษะได้ รวมทั้งมีผลต่อการกิน การพูด และการกระพริบตาด้วย
3. โบท๊อกซ์ถูกจำกัดให้ใช้ได้เฉพาะบริเวณลำคอ พื้นที่รอบคอ รอบปาก และตา (พื้นที่จำกัดรอบตา) เท่านั้น
4. การฉีดโบท๊อกซ์ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การรักษาได้ผลตามที่ต้องการ และกล้ามเนื้อบางลงอย่างถาวร
5. โบท๊อกซ์มีราคาแพง การฉีดโบท๊อกซ์ต้องฉีดซ้ำเดือนละ 2-4 ครั้ง เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามที่ต้องการ
6. โบท๊อกซ์ทำให้เกิดการแพ้หรือแดงได้ในผู้ฉีดบางราย
7. หากการฉีดไม่เป็นไปอย่างแม่นยำ หรือปริมาณที่ฉีดมากเกินไป อาจทำให้หน้าแข็งทื่อ หรือไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ฉีด แต่อย่างไรก็ตามผลดังกล่าวจะคงอยู่ชั่วคราวเท่านั้นน่ะนะคะ



เรียบเรียงข้อมูลจาก http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_cosmetic/a_ch_1_001c.asp?info_id=230
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ก่อนการฉีดโบท๊อกซ์ และหลังการฉีดโบท๊อกซ์



Botox  นั้นคือโบทูลินั่มทอกซินบริสุทธิ์ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อลดริ้วร้อยเล็กๆ และริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้าค่ะ นอกจากนี้แล้ว Botox ยังใช้ลดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก ตีนกา และรอยขมวดคิ้วได้เป็น รวมไปถึงใช้ในการลดขนาดกล้ามเนื้อกราม ทำให้ใบหน้าเล็กลง และใช้ลดเหงื่อบริเวณรักแร้ได้เป็นอย่างดี


Botox

อย่างไรก็ตาม เมื่อตัดสินใจที่จะทำการฉีัดโบท๊อกแล้ว คนไข้ก็ต้องมีการเตรียมตัวก่อนการฉีดน่ะนะคะ ซึ่งควรปฏิบัติดังนี้

1. ควรหยุดรับประทานวิตามิน โดยเฉพาะ วิตามินอี น้ำมันปลา ใบแปะก๊วย และสมุนไพรร้อน เช่น โสม ก่อนการรักษาประมาณ 2-3 วัน
2. ห้ามรับประทานยาลดการอักเสบ หรือแอสไพริน ก่อนการฉีดยา 1 อาทิตย์

การดูแลหลังตัวเองหลังรับบริการฉีดโบท๊อกนั้น ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้ค่ะ

1. ห้ามนอนราบ 3 ชม. หลังทำ เนื่องจากตัวยาอาจกระจายออกนอกตำแหน่งที่ฉีด ทำให้ไม่ได้ประสิทธิภาพที่ต้องการ
2. ห้ามนวดบริเวณที่ฉีด เพราะทำให้ยากระจายตัวไปที่กล้ามเนื้อรอบดวงตาได้
3. ขยับกล้ามเนื้อที่ฉีด ทุก 15 นาที ในชั่วโมงแรกหลังฉีด เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ดีขึ้น
4. หากมีรอยช้ำหลังฉีด ประคบเย็นที่บ้านต่อ ไม่ให้นวด หรือประคบอุ่น และงดทานยาจำพวก แอสไพริน วิตามินอี สมุนไพรร้อน เช่น แปะก๊วย โสม 2-3 วัน เพื่อลดรอยช้ำหลังฉีด (หากมี)
5. ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 2 อาทิตย์แรกซึ่งอาจจะมีผลทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้ไม่ดี หรืออาจแย่ไปกว่านั้นอีกก็คือ ทำให้เกิดริ้วรอยแผลบริเวณตำแหน่งที่ฉีดโบท็อกซ์
6. ช่วงเดือนแรกงดเว้นการนวดหน้าแรงๆ หรือ การทำ treatment ร้อน เช่น RF, การซาวน่า
7. สำหรับผู้ที่ฉีดหน้าเรียว ควรงดเว้นการเคี้ยวหมากฝรั่ง เนื่องจากจะทำให้การฉีดไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
8. ปกติแล้ว แพทย์จะนัดให้กลับมาพบแพทย์ครั้งต่อไปในอีก 1 อาทิตย์ หรือถ้าฉีดหน้าเรียวพบแพทย์ครั้งต่อไปอีก 2 อาทิตย์หลังจากวันที่ฉีด หรือหากมีข้อสงสัยหรือ มีอาการผิกปกติอย่างใด ก็ควรกลับไปพบแพทย์ทันทีน่ะนะคะ




เรียบเรียงข้อมูลจาก yasashiijapan.com
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์แทนการศัลยกรรม

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ บล้อกบิวตี้ฟอร์ยูทุกท่าน

ปัจจุบันนี้ได้มีนวัตกรรมความงามใหม่ ๆ เพื่อการหยุดยั้ง หรือชะลอวัย มิให้เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาหลากหลายทางเลือกด้วยกันน่ะนะคะ

ในตอนที่แล้วของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราได้แนะนำ วิธีการลดริ้วรอยเหี่ยวย่น การปรับรูปหน้า ด้วยวิธีการที่ง่าย ไม่ซับซ้อน และไม่ต้องเจ็บตัวเหมือนการผ่าตัดทำศัลยกรรมในสมัยก่อน ด้วยการเลือกนำสารประเภทหนึ่งที่เรียกว่า Botox (ได้จากการสกัด Botulium toxin A ) มาฉีดลงไปในบริเวณกล้ามเนื้อมัดที่เกิดปัญหา ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ก็จะช่วยลบริ้วรอยบริเวณหัวคิ้ว รอยตีนกา หน้าผากได้ชั่วคราว ทำให้ผิวหนังด้านบนของกล้ามเนื้อเหล่านั้นตึงเรียบขึ้น





กรรมวิธีในการฉีด Botox นั้นแสนง่าย และรวดเร็วค่ะ ผู้ที่เข้ารับการรักษา ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ฉีดเสร็จก็สามารถกลับบ้านได้เลย หรือไปเดินช็อปปิ้งต่อก็ยังได้ แถมราคาก็สบายกระเป๋า เพราะเราสามารถเลือกที่จะเสริมแต่ง หรือ แก้ไขเฉพาะจุดที่จำเป็น โดยเฉพาะผู้เข้ารับการรักษาที่มีอายุน้อยซึ่งความแข็งแรงยืดหยุ่นของผิวพรรณยังค่อนข้างสมบูรณ์ดีอยู่ จะใช้ยาในปริมาณที่น้อยมาก การแก้ไขในบางจุดจึงมีราคาแค่พันต้นๆ เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การ ฉีดโบท็อกซ์ นั้น ก็เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เพราะรูปหน้าคงที่แล้ว หากแต่ไลฟ์สไตล์ของหนุ่มสาวยุคใหม่ ที่ต้องการปรับแต่งรูปหน้าให้สวยเนี้ยบยิ่งกว่า ต้องการปรับเล็กๆ น้อยๆเพื่อแก้โหงวเฮ้ง หรือเสริมบุคลิกภาพเพื่อสังคม ผู้มีอายุต่ำกว่านั้นก็สามารถทำได้ ไม่ต้องรอให้วัยล่วงเลยไปแต่อย่างใดน่ะนะคะ

อย่างไรก็ดี การฉีดโบท๊อกซ์นั้น ก็มีข้อจำกัดสำหรับผู้อยากเข้ารับการรักษาบางคนค่ะ ได้แก่ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคระบบกล้ามเนื้อ,ผู้ที่มีประวัติแพ้ Albumin,ผู้ที่มีประวัติแพ้ Botulinum Toxin และหญิงมีครรภ์ที่อยู่ระหว่างให้นมบุตรนะคะ



เรียบเรียงข้อมูลจาก yasashiijapan.com
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

ผลลัพท์ที่ได้หลังฉีดโบท๊อกซ์



"โบท็อกซ์" นั้น คือชื่อทางการค้าของสารชีวภาพชนิดหนึ่ง นั่นก็คือคือ โบทูลินัม ท็อกซิน เอ ที่มาจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัวชั่วคราวค่ะ ปัจจุบันนี้ในแวดวงของความงามนิยมนำโบท็อกซ์มาใช้สำหรับการลดรอยย่นของผิวหนัง เช่น รอยย่นเวลาเราขมวดคิ้ว เพราะเมื่อกล้ามเนื้อหดตัวแล้ว เวลาขมวดคิ้วกล้ามเนื้อจะไม่จับกันเป็นก้อนนูนออกมา และยังสามารถช่วยในการปรับแต่งรูปหน้า เช่น ยกคิ้ว ยกมุมปาก ลดปีกจมูก ได้อีกด้วย

Botox
ในกรณีที่ฉีดเพื่อการ ลดริ้วรอย หลังฉีดโบท็อกซ์แล้ว ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์เช่น การขมวดคิ้ว รอยย่นจมูกที่เกิดจากการยิ้มจะลดลง ผิวเรียบเนียนขึ้น ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ หรือกรณีที่ฉีดปรับแก้ไขรูปหน้า ก็ทำได้ในหลายกรณี เช่น ฉีดลดกล้ามเนื้อตรงส่วนกรามให้เล็กลง ส่งผลให้หน้าดูเรียวขึ้น การทำให้คิ้วโก่ง ให้มุมปากที่ตกยกขึ้น ปีกจมูกเล็กลง นอกจากนี้ยังมีความสามารถควบคุมต่อมเหงื่อ เพื่อลดเหงื่อใต้วงแขน โดยการทำงานยับยั้งการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ Sympathetic ที่ควบคุมต่อมเหงื่อทำให้ผลิตเหงื่อลดลงได้ด้วย


การ ฉีดโบท๊อกซ์ นั้น สามารถเห็นผลได้หลังฉีดประมาณ 3-7 วัน ค่ะ และผลของการฉีดจะอยู่ได้ราว 6-8 เดือน โดยสามารถฉีดซ้ำได้เมื่อกล้ามเนื้อกลับสู่สภาพเดิมน่ะนะคะ

ในตอนหน้าเราจะมาดูเหตุผลว่า ทำไมเราจึงควรเลือกที่จะฉีดโบท๊อกซ์ เพื่อลดริ้วรอยเหี่ยวย่น และแก้ปัญหาบางประการของรูปหน้าแทนการศัลยกรรมกัน กลับมาติดตามบล้อกบิวตี้ฟอร์ยูได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ



เรียบเรียงข้อมูลจาก yasashiijapan.com
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

ลบรอยย่น,รอยตีนกา ด้วยโบท๊อกซ์ (Botox)

ริ้วรอย ที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของคนเรานั้น เกิดจากการแสดงสีหน้า และอารมณ์ต่างๆ ซ้ำๆ กันน่ะนะคะ เมื่อเกิดการใช้งานซ้ำ ๆ กันนานเข้า กล้ามเนื้อมัดที่เราใช้แสดงสีหน้าและอารมณ์ ก็จะเกิดการหดตัว ทำให้ผิวหนังที่อยู่เหนือกล้ามเนื้อนั้น เกิดเป็นรอยให้เห็นหรือที่เราเรียกกันว่ารอยย่น โดยเฉพาะรอยย่นซึ่งมักจะมาเร็วและเห็นได้ตั้งแต่ยังอายุไม่มากเท่าใดนัก ก็จะเป็นรอยย่นบริเวณหางตาหรือที่เราเรียกกันติดปากว่า รอยตีนกา นั่นเอง




แต่ปัจจุบันนี้มีันวัตกรรมความงาม ที่จะช่วยให้ความเสื่อมของผิวและรอยย่นที่เกิดจากวัย รวมไปถึงการที่เราใช้กล้ามเนื้อในการแสดงอารมณ์ซ้ำ ๆ กันเป็นเวลานาน มีสภาพที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือเจ็บตัวมากเท่าใดนักน่ะนะคะ นั่นก็คือ การใช้โปรตีนบริสุทธิ์ ซึ่งเราเรียกว่าโบท็อกซ์ ซึ่งก็จะได้จากการสกัด Botulium toxin A มาฉีดลงไปในบริเวณกล้ามเนื้อมัดที่เกิดปัญหา ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ก็จะช่วยลบริ้วรอยบริเวณหัวคิ้ว รอยตีนกา หน้าผากได้ชั่วคราว ทำให้ผิวหนังด้านบนของกล้ามเนื้อเหล่านั้นตึงเรียบขึ้น



     
การทำงานของ โบท๊อก นั้น เมื่อเราทำการฉีดยาเข้าไปในบริเวณที่ต้องการ ยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการนำกระแสประสาทที่ส่งมายังกล้ามเนื้อบริเวณนั้นค่ะ ทำให้เกิดการคลายตัว เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว ผิวหนังด้านบนของกล้ามเนื้อก็จะเรียบและไม่มีรอยย่น ส่วนการทำงานด้านอื่นๆ ของเส้นประสาทก็ยังคงเป็นปกติ เช่น การรับรู้ความรู้สึกต่างๆ น่ะนะคะ การออกฤทธิ์ของยา เป็นการออกฤทธิ์เฉพาะที่ หรือออกฤทธิ์เฉพาะบริเวณที่ฉีดเท่านั้น ไม่มีผลกับกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ดังนั้นเมื่อแสดง สีหน้าและอารมณ์ต่างๆ สีหน้าของเราก็ยังคงดูเป็นธรรมชาติ เพียงแต่ริ้วรอยหายไปเท่านั้นเอง

ในตอนหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราจะกลับมาดูผลลัพท์ที่ได้ หลังฉีดโบท๊อกซ์ เพื่อหยุดยั้งริ้วรอยเหี่ยวย่นชั่วคราวกันนะคะ :)




เรีียบเรียงข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

สาเหตุของรอยตีนกา

ผิวหนังของเราจริง ๆ แล้วก็เป็นเหมือนอวัยวะอื่นของร่างกายนั่นล่ะค่ะ คือเมื่อมีอายุมากขึ้นก็จะเกิดการเสื่อม โดยเฉพาะผิวส่วนที่ต้องเจอแสงแดดมาก เช่นผิวหน้า หรือผิวภายนอกร่มผ้านั่นเอง




โดยปกติแล้วผิวหนังของเราจะมี คอลลาเจน,อิลาสติน รวมทั้งไขมันเป็นส่วนประ่กอบอยู่น่ะนะคะ เมื่ออายุมากขึ้นไขมันและ collagen ก็จะลดลง เซลล์แบ่งตัวน้อยลง จำนวนเซลล์ในชั้นหนังแท้ลดลง(สวนทางกับอายุดีแท้ ๆ) ยิ่งหากร่างกายถูกแสงแดดมากเท่าใด ก็จะมีการทำลายทั้ง collagen และ elastin มากขึ้น ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง น้ำในเซลล์ก็จะลดลงทำให้เกิดรอยย่นบนใบหน้า ที่เราเรียกว่าตีนกาหรือ wrinkle ซึ่งมีสองชนิดด้วยกันคือ ชนิดที่เป็นรอยย่นเล็กน้อย และชนิดที่เป็นรอยลึก

การรักษารอยเหี่ยวย่น หรือ รอยตีนกา นั้นสามารถทำได้หลายวิธีค่ะ เช่น การใช้ยาทา การฉีดสารบางชนิดเข้าใต้ผิวหนัง เช่น ฟิลเลอร์,โบท๊อก,collagen fat ซึ่งในครั้งหน้าของบล้อกบิวตี้ฟอร์ยู เราจะมาศึกษาถึุงวิธีรักษารอยตีนกาด้วยวิธีต่าง ๆ กันนะคะ




ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

เรื่องน่าอ่าน