Skinpress Rss

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

5 ตำแหน่งศัลยกรรมยอดฮิต กับอายุที่เหมาะสม

ปัจจุบันนี้ การทำศัลยกรรมตกแต่งสามารถช่วยทำให้คุณดูดีขึ้นได้ก็จริง แต่การทำในช่วงที่อายุไม่เหมาะสม ก็อาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หรือมีผลเสียมากกว่าผลดีนะคะ ฉะนั้น สาว ๆ ที่กำลังคิดจะทำศัลยกรรมตกแต่ง หรือวางแผนไว้ว่าอยากจะเสริมตรงนั้นนิด ปรับตรงนี้หน่อย จึงควรทราบช่วงอายุที่เหมาะสมที่จะทำศัลยกรรมแต่ละประเภทไว้ด้วย โดยแบ่งตำแหน่งศัลยกรรมยอดนิยมในสมัยนี้ออกเป็น 5 ตำแหน่งค่ะ

1.หน้าผาก

ส่วนมากนิยมทำเพื่อลบรอยย่นลึก และริ้วรอยไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ช่วงอายุที่เหมาะสมคือ 35 ปีขึ้นไป





2.ตา

ถ้าทำตาสองชั้น ควรทำหลังจากอายุ 17 ปีขึ้นไป เพราะร่างกายจะเติบโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 17-18 ปี ส่วนถุงใต้ตา ควรทำเมื่ออายุ 19 ปีขึ้นไป (ในกรณีที่มีถุงใต้ตาชัดเจนน่ะนะคะ) และรอยย่นรอบดวงตา ช่วงอายุที่เหมาะสมคือ 45 ปีขึ้นไป





3.จมูก

การทำจมูก ควรทำเมื่ออายุยังน้อยค่ะ เพราะจะได้ผลดีกว่าทำตอนอายุมาก สำหรับช่วงอายุที่เหมาะสมคือ 20 ปีขึ้นไป





4.ผิวหน้า

นอกจากการลบริ้วรอยไม่พึงประสงค์ เช่น รอยจากสิว ไฝ ผ้า กระ และจุดด่างดำต่าง ๆ แล้ว ยังมีริ้วรอยแห่งกาลเวลาที่ยากจะลบเลือน การพึ่งเทคโนโลยีอย่างการดึงหน้านั้น มีช่วงอายุที่เหมาะสมคือ 45 ปีขึ้นไป






5.หน้าอก

การเพิ่มขนาดหน้าอก หรือการเสริมหน้าอก ควรทำเมื่ออายุ 18 ปีขึ้นไป เนื่องจากหน้าอกมีการพัฒนาเต็มที่แล้ว ส่วนการยกหน้าอกไม่ให้หย่อนยาน ช่วงอายุที่เหมาะสมคือ 45 ปีขึ้นไป





ที่สำคัญก็คือ ไม่ว่าคุณจะเลือกปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เสริมเติมแต่งความงามส่วนไหนก็ตาม ควรเลือกทำกับแพทย์ผู้ชำนาญการได้รับการรับรองจากสมาคมศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย และเลือกสถานที่ประกอบการที่สะอาด  ด้วยน่ะนะคะ เพราะความสวยจากมีดหมอข้างต้น บางครั้งก็มาพร้อมกับความเสี่ยง เราจึงต้องลงมือเลือก..ให้แน่ใจเสียก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจทำน่ะค่ะ





วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประวัติความเป็นมาของ ศัลยกรรมตกแต่ง

หนังสือ ศัลยกรรมตกแต่ง โดย นพ. กิตติ เย็นสุดใจ และคณะ ได้กล่าวถึงประวัติของศัลยกรรมเสริมความงามว่า เริ่มจากการทำศัลยกรรมตกแต่งโดย เซลซัส (Celcus) แพทย์ชาวฮินดูสมัยก่อนคริสตกาล ท่านผู้นี้เป็นผู้วางรากฐานการทำศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งก็มาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มียาสลบ ไม่มีการให้เลือดและยาปฏิชีวนะเลยอ่ะนะคะ





ในประเทศอินเดียสมัยก่อนพุทธกาล ช่างปั้นหม้อตระกูลโคมะ (Kumar) เป็นผู้มีชื่อเสียงใน การเสริมจมูกให้สตรีมีชู้ ที่ถูกตัดจมูกทิ้ง และเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว ที่ ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) แพทย์ชาวกรีกผู้เป็นบิดาแห่งการแพทย์ ได้อธิบายหลักวิธีพันผ้ายึดกระดูกใบหน้าหักรอบ ๆ หน้าผากและคาง





หนังสือพิมพ์สยามนิกร (๒๑ มกราคม ๒๕๐๗) กล่าวถึงศัลยกรรมเสริมความงามว่า เริ่มมีมาในยุโรปตั้งแต่สมัยกลาง (ค.ศ. ๕๐๐-๑๔๕๐) ค่ะ สมัยนั้นได้มีการพยายามจะซ่อมจมูกหรือหูที่โหว่หรือแหว่งวิ่นให้ดูดีขึ้น ตามประวัติกล่าวไว้ว่าในประเทศเยอรมนียุคนั้น เคยมีกษัตริย์องค์หนึ่ง ให้ช่างทำจมูกทองคำเข้าสวมแทนพระนาสิกอันโหว่ของพระองค์





หนังสือ Human Face โดย John Liggett กล่าวถึงพัฒนาการของศัลยกรรมเสริมความงามว่า เริ่มต้นประมาณ ๑,๐๐๐ ปีที่แล้วในประเทศอินเดีย และในระหว่างยุคกลาง นักกายวิภาค คือ Vesalius, Fallopius และ Ambroise Pare ได้เขียนหนังสือเตือนศัลยแพทย์เกี่ยวกับอันตรายและความยากลำบากในการทำศัลยกรรม แต่งานเขียนที่เป็นหลักฐานและได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับศัลยกรรมเสริมความงาม ได้แก่ งานเขียนเรื่อง The Madras Gazette ของ Gaspare Tagliacozzi ชาวอิตาลี ได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการผ่าตัดเสริมจมูกที่หายไปจากอาวุธมีคมหรือโรคร้าย โดยการนำชิ้นส่วนบริเวณหน้าผากมาสร้างทดแทนจมูกที่หายไป นอกจากนี้งานเขียนอีกชิ้นหนึ่งที่ชื่อ De Chirurgia Curtorum ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. ๑๕๙๗ อธิบายเกี่ยวกับกระบวนการผ่าตัดหน้าตาอย่างละเอียดถึง ๒๒ แบบ  ซึ่งวิธีการต่าง ๆ ของ Tagliacozzi ทำให้เขามีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จอย่างมากในสมัยนั้น คำอธิบายของเขากลายเป็นรากฐานของการทำศัลยกรรมในสมัยต่อมาอ่ะนะคะ แต่สิ่งนี้ทำให้เขาถูกต่อต้านจากคนจำนวนมากและถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดที่เข้าไปบิดเบือนงานที่พระเจ้าสร้างมา





ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ Harold D. Gillies ศัลยแพทย์ชาวนิวซีแลนด์  ผู้เชี่ยวชาญในการผ่าตัดรักษาทหารบาดเจ็บในสงคราม  เป็นผู้วางรากฐานศัลยกรรมตกแต่ง และแต่งตำราผ่าตัดใบหน้า หลักวิชาศัลยกรรมตกแต่งของเขายังใช้และเป็นประโยชน์จนถึงปัจจุบัน




ปี ค.ศ. ๑๙๒๘ JacqueS Joseph ได้เขียนหนังสือ Nasenplastik and Sonstige Gesichtsplastik เพื่ออธิบายถึงการนำเทคนิคใหม่ ๆ มาใช้ในการทำศัลยกรรม โดยเขาได้ประดิษฐ์เครื่องมือพิเศษต่าง ๆ เช่น เครื่องมือที่ใช้สำหรับยกกระดูกเลื่อยสำหรับลดขนาดของกระดูกอ่อนและดั้งจมูก ในสมัยนั้นศัลยกรรมตกแต่งที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปและประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ได้แก่ การผ่าตัดซ่อมแซมหน้าตาที่เสียโฉมจากอุบัติเหตุทางถนนและการสู้รบในสงคราม เพราะการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงหรือซ่อมแซมหน้าตามีผลต่อจิตใจของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก และสามารถทำให้เขากลับเข้ามาดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปรกติสุข

หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เป็นต้นมา ศัลยกรรมตกแต่งซบเซาลงไปเนื่องจากทั่วโลกเกิดภาวะวิกฤตหลังสงคราม แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติ ศัลยกรรมตกแต่งกลับเป็นที่นิยมทั่วโลกอีกครั้งหนึ่งและเป็นที่นิยมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ค่ะ

ส่วนการผ่าตัดเสริมความงามของสตรีในเมืองไทย เริ่มต้นประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยการชักนำของกลุ่มบุคคลที่มิได้เป็นแพทย์ ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวจีนน่ะนะคะ  มีร้านรับทำศัลยกรรมของชาวจีนเปิดบริการอยู่สองร้าน คือ ร้านซ่งฮุย  ย่านเยาวราช  และร้านซุ่ยเต็ก บริเวณเจริญผล ทั้งสองร้านนี้รับทำตาสองชั้น เสริมจมูกให้โด่ง และเย็บใบหูที่กางออกมากเกินไป แต่เนื่องจากผู้ทำไม่ใช่ศัลยแพทย์และมีความรู้น้อย จึงทำให้เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคเนือง ๆ บางคนมีอาการอักเสบและติดเชื้อ เป็นผลให้ผู้ที่ไปทำได้รับความเสียหายถึงขั้นฟ้องศาล จึงต้องเลิกกิจการไป





วงการแพทย์ในขณะนั้นยังมีความเห็นว่า ศัลยกรรมตกแต่งไม่ใช่สิ่งจำเป็นค่ะ จะทำก็ต่อเมื่อมีความผิดปรกติทางกายหรือทางสรีระเท่านั้น จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๒ จึงได้เริ่มมีแพทย์ไทยที่เรียนและฝึกงานในสาขาศัลยศาสตร์ตกแต่งโดยตรง เดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ โดยเริ่มปฏิบัติงานในด้านศัลยกรรมตกแต่งทั้งในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน ต่อมาได้ก่อตั้งสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ จากนั้นงานศัลยกรรมตกแต่งโดยเฉพาะการทำศัลยกรรมเสริมความงามได้เจริญและพัฒนาอย่างรวดเร็วที่เล่ามานี้ คัดย่อมาจากวิทยานิพนธ์เรื่อง สตรีไทยกับศัลยกรรมเสริมความงาม โดย อริยา อินทามระ น่ะนะคะ

ในตอนต่อไป เราจะมารู้จักกับการทำศัลยกรรมตกแต่งกันให้มากขึ้น ว่าเดี๋ยวนี้การทำศัลยกรรมตกแต่งได้ก้าวไปถึงขั้นไหนแล้ว และมีศัลยกรรมตกแต่งประเภทไหนบ้าง ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนี้ค่ะ





วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เลเซอร์เพื่อความงาม

ปัจจุบัน วิทยาการทางด้านการแพทย์ด้านความสวยงามก้าวหน้าไปไกลมากค่ะ มีเครื่องมือใหม่ๆ ชื่อแปลกๆ ไม่คุ้นหู ออกมาแทบจะทุกเดือน ที่ได้ยินกันบ่อยๆ น่าจะเป็นเรื่องของเลเซอร์ แต่ในความเป็นจริงจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเลเซอร์คืออะไร ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง และมีวิธีการใช้ที่มีประสิทธิภาพอย่างไร วันนี้ บล็อกสวย 2000 ปี จะพาทุกท่าน มาทำความรู้จักกับเลเซอร์กันหน่อยดีกว่านะคะ




นพ.ชัยประสิทธิ์ บาลมงคล อายุรแพทย์โรคผิวหนัง เปิดเผยถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเลเซอร์ว่า LASER ย่อมาจากคำเต็มว่า Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation หลักการคือเครื่องจะยิงอนุภาคโฟตอน ไปกระทบกับวัตถุตัวกลางที่อยู่ภายใน ทำให้เกิดการชนและสะท้อนไปมา เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่องจนพลังงานเพิ่มสูงขึ้น หลังจากนั้นเครื่องจะรวบรวมพลังงานที่เกิดขึ้น และปล่อยออกมาทางท่อที่ได้ออกแบบไว้ ซึ่งเราสามารถนำพลังงานที่ได้ไปใช้ในการรักษาโรคต่างๆ กัน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของเครื่องเลเซอร์ที่ใช้ เนื่องจากเครื่องแต่ละชนิดจะถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับปัญหาที่ไม่เหมือนกัน เช่น เลเซอร์ที่จำเพาะกับเม็ดสี หรือเลเซอร์สำหรับทำลายเม็ดเลือดแดง เป็นต้น





สิ่งที่เลเซอร์แตกต่างจากแสงที่เรามองเห็นคือ มีช่วงความยาวคลื่นเดียว และเดินทางเป็นเส้นตรงค่ะ เหมือนทหาร ที่เดินสวนสนามไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นพลังงานจึงสูงมาก ไม่เหมือนแสงจากกระบอกไฟฉายที่จะกระจัดกระจาย ไม่เป็นระเบียบ ในสมัยเด็กๆ ถ้าเราเคยทดลองทางวิทยาศาสตร์ จะพบว่าการจะทำให้กระดาษติดไฟ ถ้าวางไว้กลางแดดเฉย ๆ อย่างไรก็ไม่ติดไฟเนื่องจากพลังงานไม่สูงพอ ต้องใช้เลนส์มารวมแสงให้เป็นจุดเล็กๆ ภายในระยะเวลาหนึ่งจึงจะทำให้กระดาษไหม้ได้ แต่ถ้าเป็นเลเซอร์ พลังงานจะสูงจนสามารถทำลายเนื้อเยื่อที่เราต้องการได้ทันที นอกจากนี้ เราสามารถบีบให้เลเซอร์รวมกันที่จุดแคบๆ ทำให้เกิดความแม่นยำระหว่างการใช้งาน สามารถยิงเลเซอร์ในบริเวณเล็กๆ ได้ เช่น ไฝหรือติ่งเนื้อที่มีขนาดเล็ก หรืออยู่ในที่ที่การผ่าตัดไม่สะดวกที่จะทำได้

เครื่องเลเซอร์ที่นิยมนำมาใช้มีหลากหลายชนิดสำหรับแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน ได้แก่

- Carbon dioxide LASER ให้ความยาวคลื่นที่ 10600 nm (nm คือ นาโนเมตร 1 nm = 1x10 -9 หรือเท่ากับ 1/1,000,000,000 เมตร) พลังงานจะถูกดูดซับโดยน้ำ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเนื้อเยื่อทุกชนิด ดังนั้นจึงทำลายเซลล์ทั้งหมดที่สัมผัสกับแสง ปกติเราใช้กำจัดปัญหาที่เกิดในผิวชั้นตื้น เช่น ใช้ ยิงไฝ ขี้แมลงวัน ติ่งเนื้อ ที่งอกเกินออกมา หรือใช้ กรอผิว ได้ แต่ไม่นิยมใช้กับปัญหาที่อยู่ในผิวชั้นลึกๆ เพราะผิวด้านบนจะเกิดแผลด้วย




- Q-Switched Alexandrite LASER ปล่อยแสงในช่วงความยาวคลื่น 755 nm สำหรับการรักษา เม็ดสีผิดปกติในผิวหนัง เช่น กระแดด กระตื้น ปาน หรือใช้ ลบรอยสัก เนื่องจากคุณสมบัติของเลเซอร์ชนิดนี้ที่สามารถทะลุผิวชั้นบนลงไปถึงเม็ดสีผิดปกติด้านล่างโดยไม่ทำให้เกิดแผล ดังนั้นจึงดูแลผิวหลังทำได้ง่าย และระยะเวลาในการหายสั้น ประมาณแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น

- Sciton เป็น Long-pulsed Nd : Yag LASER คือเลเซอร์ที่มีช่วงคลื่นยาว 1064 nm จากความยาวคลื่นที่ยาว ทำให้พลังงานสามารถเดินทางผ่านผิวหนังชั้นตื้นลงไปถึงผิวชั้นลึก โดยไม่ทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังด้านบน พลังงานจะจับกับเม็ดสีที่มีมากบริเวณรอบๆ รูขุมขน เกิดความร้อนขึ้นจนสามารถใช้เผาหรือทำลายรากขนในบริเวณที่ไม่ต้องการได้ เช่นใช้ กำจัดขน บริเวณ หนวด เครา ใต้วงแขน หรือน่อง หลังรับการรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดนี้อย่างต่อเนื่อง เส้นขนจะเล็กลง บางลง ขึ้นช้าลง จนอาจหายไปหมดได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ในผิวชั้นลึก เพื่อชะลอปัญหาริ้วรอยก่อนวัยได้อีกด้วย




พูดถึงเรื่อง ริ้วรอย เครื่องที่ได้ยินกันบ่อยๆ อีกชนิดคือ Thermage ค่ะ เป็นเครื่องที่ช่วยยกกระชับผิวหน้าและคอที่ดีมาก เครื่องจะปล่อยพลังงานคลื่นเสียงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการหดกระชับของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เราได้ยินกันคุ้นหูคือ คอลลาเจน ซึ่งสารตัวนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในผิวชั้นลึก ทำให้ ผิวแข็งแรง และเต่งตึง แต่เวลาที่เราอายุมากขึ้น สารตัวนี้จะสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ผิวเหี่ยว และหย่อนคล้อย ดังนั้นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นจึงช่วยให้ผิวดูดี แข็งแรงและกระชับขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่เพิ่งเริ่มมีอาการหรือยังเป็นไม่มาก และยังเหมาะสำหรับคนที่กลัวการผ่าตัด เพราะไม่มีแผล สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังรักษา สะดวกมาก

สุดท้ายเครื่องมือสุดฮิตที่อยากจะแนะนำให้รู้จักกันก็คือ IPL ซึ่งย่อมาจาก Intense Pulsed Light เป็นอุปกรณ์ที่มีหลอดไฟอยู่ภายใน หลอดไฟที่ว่านี้ไม่ใช่หลอดไฟทั่วไป แต่เป็นหลอดชนิดพิเศษที่ให้แสงจ้ามากกว่าปกติ แสงที่ออกมาจะอยู่ในช่วงคลื่น 500-1200 nm โดยบริเวณปลายของหัวยิงจะมีฟิวเตอร์ เพื่อกรองแสงความยาวคลื่นที่ไม่ต้องการออกไป ข้อดีคือเครื่องปล่อยแสงเป็นวงกว้างทำให้สามารถถูกดูดซับด้วยตัวดูดแสงที่อยู่ในผิวหนังได้หลายชนิดอ่ะนะคะ ทำให้สามารถแก้ปัญหาผิวได้หลากหลายและเห็นผลค่อนข้างเร็ว ปกติเราใช้ในการปรับสภาพผิวหน้าให้กระจ่างใสและขาวขึ้น กระ ฝ้า ตื้นๆ จะจางลงได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้กำจัดขนได้ด้วย แต่เพราะแสงค่อนข้างกระจัดกระจายทำให้ถ้าต้องการรักษาโรคบางชนิดอาจต้องเพิ่มความเข้มแสงให้สูงขึ้นและมีโอกาสไหม้ได้ง่าย โดยเฉพาะในคนที่มีผิวคล้ำ จึงต้องระมัดระวังในการทำค่อนข้างมาก และเลือกทำในสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ จึงจะลดโอกาสเสี่ยงที่จะผิวจะไหม้ลงได้ค่ะ


ขอบคุณ ที่มา : http://www.classifiedthai.com/content.php?article=17683

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กระ

กระ จะมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลมักเป็นบริเวณใบหน้าหรือส่วนอื่น ๆ ที่โดนแสงแดดบ่อย ๆ ซึ่งกระก็มีได้หลายประเภทนะคะ เช่น กระตื้น ซึ่งยังแบ่งย่อยออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรกเรียกว่า Freckle มักพบในเด็กและวัยรุ่น กระชนิดนี้สีจะเข้มขึ้น และเห็นได้ชัดเจนถ้าไปโดนแดด และจางลงเมื่อไม่โดนแดดเกิดขึ้นเนื่องจากเซลล์เม็ดสีบริเวณนั้นขยันสร้างเม็ดสี มากกว่าปกติ




ชนิดที่สองคือ กระแดด เป็นกระตื้นอีกชนิดหนึ่งที่พบบ่อยในผู้ใหญ่ เรียกว่า Solar Lentigo  กระแดด เกิดเนื่องจากบริเวณที่ เป็นมีเซลล์ที่ผลิตเม็ดสีเพิ่มจำนวนมากขึ้น กระชนิดนี้ต่างจากกระที่เกิดกับเด็กคือสีจะไม่จางลงถึงแม้ว่าคุณจะ หลีกเลี่ยงแสงแดดก็ตาม และยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามอายุอีกด้วย

การดูแลรักษาอาการกระ


1. กระตื้น สามารถทำให้จางลง โดยการทายากลุ่มที่ทำให้หน้าขาว หรือกลุ่มยาทาฝ้า และยากันแดดจะได้ผลบ้าง ช่วยทำให้กระจาง ขาวขึ้น

2. กระลึก สามารถรักษาโดยใช้ยาทา หรือรักษาด้วยเลเซอร์ค่ะ

3. กระเนื้อ สามารถรักษาโดยใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า หรือเลเซอร์

4. กระแดด สามารถรักษาโดยใช้เลเซอร์   






ขอบคุณข้อมูลจาก : http://wecare-clinic.com/

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ฝ้า Melasma

มาถึงปัญหาผิวพรรณอีกชนิดนึง ซึ่งเดี๋ยวนี้คนไทยเป็นกันมากขึ้น เนื่องมาจากสภาพอากาศที่ผจญกับแสงแดดรุนแรงแทบทั้งปี และขาดการปกป้องผิวที่ดีพอน่ะนะคะ

ปัญหานั้นก็คือ การเกิด ฝ้า นั่นเอง

ฝ้า หรือ Melasma  คือ แผ่นสีน้ำตาลอ่อน หรือ น้ำตาลเข้ม บนใบหน้าค่ะ มักพบได้ที่บริเวณโหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง, หน้าผาก, จมูก, เหนือริมฝีปาก ฝ้า ที่เห็นนั้นเกิดจาก เซลล์สร้างเม็ดสี ในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอ พบใน ผู้หญิง มากกว่า ผู้ชายและ พบมากในวัยกลางคนอายุประมาณ 30-40 ปี






ชนิดของ ฝ้า

ฝ้า แบ่งได้เป็น ๒ ชนิด ตามความลึกของการเกิด ฝ้า ค่ะ คือ ฝ้าแบบตื้น และ ฝ้าแบบลึก
ฝ้าแบบตื้น จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย และสามารถรักษาให้หายได้เร็ว นอกจากนี้ ฝ้า ชนิดนี้ยังรักษาโดยการใช้ ยาทาฝ้า อ่อนๆ และ ยากันแดด ก็สามารถลบเลือนให้หายได้
ฝ้าแบบลึก จะมีอาการผิดปกติ อยู่ในชั้นที่ลึกกว่าชนิดแรก โดยจะเกิด ฝ้า ในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า จะเกิดความผิดปกติในระดับชั้นผิวหนังแท้ มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด รักษาได้ยากกว่า ฝ้าชนิดตื้น และไม่ค่อยหายขาด การใช้ ยาทาฝ้า อ่อนๆ และ ยากันแดด เพียงแต่ช่วยให้ดีขึ้นเท่านั้น
บางคนก็เป็น ฝ้า ชนิดใดชนิดหนึ่ง หรืออาจจะเป็นทั้ง ๒ ชนิดพร้อมกันก็ได้นะคะ ในการวินิจฉัยแยกชนิดของ ฝ้า ว่าเป็นชนิดใดนั้น ต้องได้รับการตรวจด้วยเครื่องมือที่มีชื่อเรียกว่า Wood's lamp

ตำแหน่งที่พบ ฝ้า ได้บ่อย
ตำแหน่งที่พบ ฝ้า ได้บ่อย ได้แก่ บริเวณใบหน้าที่มีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดมากๆ ค่ะ เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือคิ้ว และบริเวณเหนือริมฝีปาก ซึ่งมักเป็นทั้งด้านซ้ายและขวาของร่างกายอย่างสมมาตรกัน ในบางคนอาจพบรอยดำได้ บริเวณหัวนม รักแร้ ขาหนีบ หรืออวัยวะเพศร่วมด้วย

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า

ฝ้า เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน มีผลทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีในชั้นผิวหนัง ปัจจัยเหล่านี้อาจได้แก่

 1. แสงแดด เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด แสงอัลตราไวโอเลตทั้ง เอ และ รวมทั้งแสง visible light เป็นตัวกระตุ้นให้เกิด ฝ้า หรือ ทำให้ ฝ้า เป็นมากขึ้นได้ทั้งสิ้น

2. ฮอร์โมน ด้วยอิทธิพลของ ฮอร์โมน จะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย (เช่น การตั้งครรภ์, วัยหมดประจำเดือน) หรือได้รับ ฮอร์โมน จากภายนอกร่างกาย (เช่น รับประทานยาคุมกำเนิด, การใช้ เครื่องสำอาง บางชนิดที่มี ฮอร์โมน ผสมอยู่) จึงมักพบผู้ที่เป็น ฝ้า ขณะตั้งครรภ์ หรือ รับประทานยาคุมกำเนิดได้บ่อย

3. ยา พบว่าผู้ที่รับประทานยากันชักบางชนิด มักเกิดผื่นดำคล้ายรอย ฝ้า ที่บริเวณใบหน้า จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิด ฝ้า

4. เครื่องสำอาง การแพ้ส่วนผสมในเครื่องสำอางอาจทำให้เกิดรอยดำแบบ ฝ้า ได้ ส่วนผสมเหล่านี้อาจเป็นพวกสารให้กลิ่นหอม หรือ สี 

5. พันธุกรรม เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีรายงานว่าเป็นในครอบครัวได้ถึง ร้อยละ 30-50 

6. ภาวะทุพโภชนาการ อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากพบผื่นแบบ ฝ้า ในผู้ที่มีหน้าที่การทำงานของตับผิดปกติ และ ผู้ที่ขาดวิตามิน บี 12 เป็นต้น
การรักษา ฝ้า 

หลักการรักษาฝ้า มีดังนี้ 

1. พยายามหาสาเหตุ และแก้ไข หรือ หลีกเลี่ยงสาเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด ฝ้า เข้มขึ้น โดย
- หลีกเลี่ยงแสงแดด ใช้ ครีมกันแดด ที่มีค่าป้องกัน (SPF) สูง
- หลีกเลี่ยงการได้รับ ฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด, เครื่องสำอาง ที่มีฮอร์โมนผสมอยู่ หรือมี สารสเตียรอยด์ เป็นส่วนผสม

2. ทำให้ ฝ้า จางลง โดยการใช้ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี โดยไม่ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี

3. การขจัด ฝ้า Chemical  Peeling, การเร่ง ผลัด เซลล์ผิว ด้วย AHA TRETMENT , dermabrasionและการใช้เครื่องมือ เช่น เลเซอร์ ในรายที่แพทย์เห็นสมควร เช่น การลอกฝ้า

หลายๆคน คงมีคำถามในใจ นะคะ ว่า ฝ้า รักษาหายได้หรือไม่ ?

คำตอบ ก็คือ ผลการรักษา ฝ้า นั้นขึ้นกับ สาเหตุและชนิดของฝ้าด้วยค่ะ ฝ้า ที่เกิดจากการรับประทานยาคุมกำเนิด หรือ ยากันชัก ถ้าหยุดยา ฝ้า จะค่อย ๆ จางหายไป เช่นเดียวกับ ฝ้า ที่เกิดระหว่างตั้งครรภ์ แต่บางรายอาจหายไม่หมด เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิด ฝ้า ได้ ฝ้า ชนิดลึก จะรักษายากกว่า ฝ้า ชนิดตื้น การหลีกเลี่ยงแสงแดด ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ ฝ้า หายเร็วขึ้น 
ทราบคำตอบแล้ว อย่าเพิ่งท้อ หรือ หมดกำลังใจ ในการรักษา ฝ้า นะคะ เพราะ ถึงแม้ว่า ฝ้า อาจจะไม่หายขาด แต่เราก็สามารถรักษา ฝ้า ให้จางลงได้ ค่ะ



ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.doctorcosmetics.com/

สิวอักเสบ

สิวอักเสบนั้น เป็นขั้นต่อของ สิวอุดตัน ค่ะ เมื่อผิวหน้าเราขับไขมันออกมามากเกินไปพร้อมกับรูขุมขนที่ปิดและถูกอุดตันโดยเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่เราใช้เช่น กันแดด หรือโลชั่น มีส่วนผสมที่ทำให้อุดตัน ซึ่งเมื่อไขมันอุดตันและเกิดการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Propionibacterium acne (P.acne) แล้วแบคทีเรียนนี้ ปล่อยเอนไซม์ที่จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ จึงทำให้สิวบวมแดง สังเกตุได้ว่าเวลาไปหาหมอสิวทำไมเค้าถึงต้องกดสิวให้เรา ก็เพื่อเปิดรูขุมขนที่ปิดอยู่และกดเอาไขมันออกมาจะได้ไม่ทำให้เป็นสิวอักเสบไงคะ





สิวอักเสบ สามารถแบ่งได้เป็น

สิวนูนแดง (Papule)
สิวหัวหนอง (pustule)
สิวหัวช้าง (acne conglobata)

และมักเกิดแผลเป็นเมื่อสิวหาย

ผลข้างเคียงที่เกิดจากสิวอักเสบ มักเกิดได้บ่อยถ้าไม่รีบรักษาก็คือ

1.รอยดำจากสิว
2.รอยแดงช้ำ ซึ่งจะอยู่ได้นานเป็นเดือน ๆ เชียวค่ะ
3.รอยหลุมจากสิว หรือ Icepick-scar

การรักษาสิวอักเสบ แบ่งได้ตามนี้ค่ะ

1. Benzoyl peroxide

เป็นตัวยาที่ลดจำนวนเชื้อแบคทีเรีย P.acne และลดการอักเสบได้ดี 50-70% ของสิว มักอยู่ในรูปของครีมหรือเจล ความเข้มข้นตั้งแต่ 2.5-5% BP นี้มักทาทิ้งไว้ 5-10 นาทีแล้วล้างออก เนื่องจากมีการระคายเคืองถ้าทาทิ้งไว้ อาจทำให้ผิวหน้าแสบ แดง และแห้งเป็นขุยได้ มักใช้รักษาสิวอักเสบนูนแดงได้ดี

2. Antibiotics (ยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบ) มีอยู่หลายตัวค่ะ อาจอยู่ในรูปโลชั่น ครีม หรือยารับประทานที่ใช้ในการกำจัดเชื้อสิว P.acne

3. ยาคุมกำเนิด มักใช้เฉพาะในผู้หญิง เพื่อควบคุมสิวที่เกิดจากฮอร์โมนเพศ

4. ยารับประทานต้านฮอร์โมนเพศชาย แอนโดรเจน ที่ใช้บ่อยคือ spironolactone มักให้เฉพาะในผู้หญิงเช่นกัน

5. Azeleic acid มักใช้ในรูปของยาทา 20% Azeleic acid (Skinoren) มักใช้ในระยะแรก แต่อาจระคายเคืองได้

6. ยากลุ่ม Retinoids เช่น Roaccutane,Isotretinoin ใช้รักษาได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบรุนแรง ที่ไม่ตอบสนองหรือดื้อต่อยาแก้อักเสบ หรือยาปฏิชีวนะในข้อ 2. แต่ยาค่อนข้างมีราคาแพง และห้ามใช้ในสตรีมีครร์ หรือถ้าใช้อยู่ ก็ให้หยุดยาก่อนการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนอ่ะนะคะ

7. การฉีดสิว กรณีที่สิวอักเสบรุนแรง นูนแดง เจ็บ สิวหัวช้าง เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็น ทำให้สิวหายเร็วขึ้น ควรทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากอาจเกิดรอยหลุมแผลเป็นจากยาได้

8. การรักษาสิวอักเสบด้วยคลื่นแสง (Acne Photo clearing) โดยเครื่องมือ Clearlight ซึ่งเป็นวิวัฒนาการด้านผิวพรรณที่ทันสมัยและกำลังเป็นที่นิยมในต่างประเทศ การรักษาด้วยวิธีนี้เมื่อเปรียบเทียบกันวิธีอื่น พบว่าคนไข้จะหายจากอาการสิวได้ในระยะเวลาที่สั้นกว่าปกติ แต่ก็มีราคาแพง และต้องมีเวลาว่างไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาเป็นประจำค่ะ





ขอบคุณข้อมูลจาก : http://ir-beautina.info/inflammatory-ance

สิวอุดตันและสิวเสี้ยน

สิวอุดตันและสิวเสี้ยน

สิว ทั้งสองประเภทนี้เกิดจากการ อุดตันรูขุมขน

ซึ่งอาจจะมาจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วแต่ผิวเรามีความผิดปกติไม่สามารถผลัดมันออกไปได้ หรือเครื่องสำอางที่เราทาผิวมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน จึงทำให้ไปขัดขวางทางออกของไขมัน จึงทำให้เป็นสิวทั้งสองประเภทนี้ค่ะ

สิวอุดตันนั้น ต่างจากสิวเสี้ยนตรงที่เกิดจากรูขุมขนถูกอุดตันสนิท ทำให้น้ำมันที่ผิวระบายออกมานั้นไม่มีทางออก จึงเกิดการอุดตัน ซึ่งจะมีลักษณะไม่มีหัวและปูดขึ้นมาจากผิวเนื่องจากรูขุมขนถูกปิดทำให้ลักษณะของสิวปูดขึ้นมาเป็นสีเดียวกับผิวเรา




ส่วน สิวเสี้ยน เป็นสิวที่ มีลักษณะคล้ายกับสิวอุดตัน แต่รูขุมขนเปิด ทำให้ไม่เป็นเม็ดปูดขึ้นมาจากผิว สีดำที่เราเห็นอาจเป็นขนที่ไขมันขับออกมาหรือการทำปฏิกิริยากับอากาศจึงทำให้เ็ห็นเป็นจุดดำ ๆ อ่ะนะคะ







Acne Fulminans

 Acne Fulminans

เป็นสิวที่ต่อเนื่องจากสิวหัวช้าง ส่วนใหญ่เพราะรักษาสิวหัวช้างไม่หายและเกิดการลุกลามมากขึ้น เกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง


สิวประเภทนี้เป็นสิวชนิดที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน จากการอักเสบรุนแรงของสิว มีลักษณะดังนี้ค่ะ

- เป็นสิวรุนแรงและมีแผลเปื่อยร่วมด้วย
- มีไข้ร่วมด้วย
- ปวดเมื่อยตามข้อ โดยเฉพาะสะโพกและเข่า

ผู้ที่เป็นสิวขนิดนี้อาจเกิดจากการรักษาสิวประเภทสิวหัวช้างไม่หายขาดจึงทำให้มีการอักเสบและติดเชื้อของสิวมากขึ้น




วิธีการรักษา

ใช้ยา Corticosteroid หรือ ยาชนิดไม่มีสเตียรอยด์ที่รักษาอาการอักเสบ เพื่อช่วย ลดการอักเสบของสิว อย่างไรก็ดีอาการของสิวลักษณะอาจเกิดขึ้นได้อีก และผู้ป่วยอาจต้องการรักษาที่ยาวนานกว่าเดิมด้วยยา isotretinoin


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.acnethai.com/


สิวหัวช้าง

สิว อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งจัดว่าเป็นสิวแบบขั้นรุนแรงก็คือ สิวประเภท Acne conglobata หรือถ้าเรียกเป็นภาษาไทยก็คือ สิวหัวช้าง นั่นเองค่ะ

สิวประเภทนี้ มีอาการรุนแรงและเรื้อรังจากการเป็นสิวหลาย ๆ ประเภทรวมกัน โดยจะมีลักษณะดังนี้คือ

- คล้ายฝีลึก
- อักเสบ
- ทำอันตรายต่อผิวขั้นรุนแรง
- ทิ้งรอยแผลเป็นไว้มาก
- มีสิวหัวดำ (สิวหัวเปิด) อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเห็นได้ชัด และกระจายออกไปในบริเวณกว้าง พบได้บ่อยที่บริเวณหน้า, คอ, ลำตัว, ต้นแขน และสะโพก





สิวลักษณะนี้จะมีเกิดจากสิวอุดตันที่อักเสบหลายชนิดรวมกัน และขนาดของสิวจะค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นจนกระทั่งแตกหรือหลุดออกไป อาจมีแผลเปื่อยเกิดขึ้นจากสิวหัวหนอง อันจะทำให้เกิดแผลเป็นชนิดนูน หรือที่เรียกว่า keloid และอาจเกิดสะเก็ดขึ้นได้จากแผลเปื่อยจากสิวหัวหนอง ฝีที่ฝังลึกอยู่ใต้ผิวจะทำให้เกิดแผลเป็นขรุขระได้

การเกิดสิวลักษณะนี้อาจมีสิวชนิดอื่น ๆ ขึ้นก่อน เช่น สิวถุงหนอง, สิวผด, สิวอักเสบที่ไม่ได้รับการรักษา แต่กลับมีอาการรุนแรงกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว บางครั้งบางคราวสิวชนิดนี้ก็จะลุกลามขึ้นในรายที่ไม่เป็นสิวมานานหลายปีได้เช่นกันค่ะ

สิวหัวช้างนั้นมักเป็นในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ที่ช่วงอายุ 18-30 ปี ส่วนสาเหตุที่แน่ชัดนั้นยังไม่พบว่าเกิดจากอะไร

วิธีการรักษา

โดยมากมักใช้ยา Isotretinoin ในการ รักษาสิวหัวช้าง ค่ะ และแพทย์อาจสั่งให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะอื่นร่วมด้วย การรักษาสิวลักษณะนี้ต้องรักษาบ่อยครั้งและค่อนข้างจะใช้เวลายาวนาน แม้กระทั่งผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหายแล้ว ก็ต้องเข้ารับการตรวจเช็คจากแพทย์ผิวหนังในกรณีที่มีสัญญาณว่าอาการเดิมอาจเกิดขึ้นใหม่ด้วยอ่ะนะคะ






ขอบคุณที่มา : http://www.acnethai.com/




สิวขั้นรุนแรงที่เกิดจากเชื้อ Gram-negative

คงต้องเตือนกันไว้ก่อนสำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านบล้อกตอนนี้นะคะ เพราะภาพประกอบของสิวประเภทนี้อาจจะทำให้ใครบางคนต้องเบือนหน้าหนี วันนี้เราจะมาพูดถึงสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาของสิวขั้นรุนแรงอีกประเภทที่เกิดต่อจากการเป็นรูขุมขนอักเสบ และมีแบคทีเรียชื่อ Gram-negative ร่วมด้วยกันค่ะ




สิวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Gram-negative เป็นสิวชนิดหนึ่งที่เกิดจากรูขุมขนอักเสบและมีการติดเชื้อของแบคทีเรียแกรมลบร่วมด้วย มีผลให้ต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการเป็นเวลานาน ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการสิวขั้นรุนแรง สิวนั้นอาจกลายเป็นสิวชนิดรูขุมขนอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบได้ในเวลาต่อมา


วิธีการรักษา

การเกิดสิวจากรูขุมขนอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีฤทธิ์ต่อต้านยาปฏิชีวนะหลายชนิด ยา isotretinoin และยาปฏิชีวนะบางตัวนั้นให้ผลในการต้านเชื้อแบคทีเรียแกรมลบได้ค่ะ

ผู้ป่วยเป็นสิวรุนแรงและครอบครัวของผู้ป่วย ควรจะต้องรู้สถานะความรุนแรงของสิว เนื่องจากเป็นสิวที่ออกจะสร้างรูปลักษณ์ที่ไม่สวยงามอยู่เป็นเวลานานระหว่างการรักษา และก็อาจเป็นได้ที่ผู้ป่วยจะพบปัญหาว่าการรักษาอาจไม่ได้ผล ระหว่างการรักษานั้นครอบครัวและเพื่อนของผู้ป่วยจึงควรให้กำลังใจกับผู้ป่วยด้วย และอาจหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างเพื่อนและครอบครัวผู้ป่วยให้เผชิญหน้ากับภาวะที่เป็นสิวได้ระหว่างการรักษา



สิวที่อวัยวะเพศสืบพันธุ์

โดยปกติทั่วไปแล้ว บริเวณที่มักเป็นสิวได้แก่ ใบหน้า, ลำคอ, หน้าอก และหลัง อ่ะนะคะ แต่สิว ก็ยังสามารถขึ้นได้ที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นได้ทั้งชายและหญิงค่ะ





สิว ที่เกิดบริเวณ อวัยวะสืบพันธุ์ นั้นมีสาเหตุของปัญหาเช่นเดียวกับสิวที่เกิดบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย
ประการแรก หากคุณพบว่าเกิดสิวที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยว่าใช่สิวจริงหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นโรคอื่นที่เกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ และเมื่อแน่ใจว่าเป็นแค่สิวจริง ๆ แล้วจึงเริ่มการรักษาได้อย่างปลอดภัย


สิวที่อวัยวะสืบพันธุ์นั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณได้รับเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์นะคะ และก็ไม่ได้หมายความว่าคุณสกปรก-ไม่สะอาด แต่เกิดจากผิวหนังได้รับการระคายเคือง และเกิดจากรูขุมขนอุดตัน
บ่อยครั้งที่สาเหตุของสิวที่อวัยวะสืบพันธุ์นั้น เกิดจากการหมักหมมของเหงื่อ ที่เกิดจากอุปกรณ์กีฬาหรือเสื้อผ้ากีฬา การอาบน้ำให้บ่อยขึ้น ก็จะช่วยลดการลุกลามของสิวที่อวัยวะสืบพันธุ์ได้


บางครั้งพบว่าสิวที่ขึ้นบริเวณนี้ เกิดจากน้ำยาซักผ้าที่คุณใช้ ลองสังเกตดูว่าเปลี่ยนยี่ห้อแล้วหายมั้ย ถ้าหายนั่นแปลว่าเกิดจากน้ำยาซักผ้ายี่ห้อนั้น ๆ แต่ถ้ายังไม่หาย ก็ต้องลองหาวิธีอื่นในการรักษาต่อไป

โดยทั่วไปคนจะรู้จักสิวที่อวัยวะสืบพันธุ์ในลักษณะของขนคุด อันเกิดจากการติดเชื้อของรูขุมขนในบริเวณขาหนีบค่ะ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านแบคทีเรีย ก็จะช่วยลดอาการได้

หลักสำคัญคือพยายามทำความสะอาดและทำให้แห้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่หากยังไม่หาย อาจต้องพบแพทย์เพื่อรักษาอาการโดยการกินยา เนื่องจากสิวนั้นเกิดจากข้างในไม่ใช่เกิดอยู่บนผิวภายนอก
การรักษาอาจต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนจึงจะเห็นผล ดังนั้นควรให้เวลาในการรักษาด้วยค่ะ อีกประการหนึ่งการรักษาบางวิธีนั้นอาจทำให้อาการแย่ลงก่อนที่จะดีขึ้น แต่หากไม่อดทนรอเวลาในการรักษาคุณก็จะไม่มีทางที่จะหายจากอาการนี้

การบีบให้สิวบริเวณนั้นให้แตกไม่เป็นผลดีค่ะ เนื่องจากจะเป็นการทำให้แบคทีเรียที่มีอยู่มากในบริเวณนั้นกระจายออกและทำให้ลุกลามไปใหญ่ ที่สำคัญก็คือสิวที่อวัยวะสืบพันธุ์นี้ไม่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัส และไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์นะคะ..เป็นแล้วก็สามารถรักษาให้หายได้ค่ะ :)



ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.acnethai.com/

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สิวบนหนังศรีษะ

หลาย ๆ คนที่ไม่เป็นสิวบริเวณใบหน้า แต่ไพล่ไปเกิดสิวบริเวณหนังศรีษะก็มีนะคะ




สิวประเภทนี้มีชื่อเรียกว่า Scalp acne ค่ะ ปกติจะขึ้นที่หน้าอก แขน หลัง แต่ส่วนใหญ่จะขึ้นที่หนังศรีษะ สาเหตุเกิดจากหนังศรีษะและผมหรือบริเวณที่เป็น มีความมันมากกว่าปกติ หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้มีส่วนผสมของน้ำมันมากเกินไป ในบางคนอาจเป็นในช่วงที่มีสภาวะความเครียดอยู่อ่ะนะคะ ลักษณะของ scalp acne จะเหมือนกับสิวอักเสบ สิวหัวหนอง ที่เป็นที่หน้าแต่ไม่ใหญ่มาก ซึ่งบางครั้งจะคันตรงที่สิวนั่นขึ้นมาด้วย

ตัวการที่ทำให้เป็น Scalp acne

1. แบคทีเรีย
2. ยีสต์

วิธีการรักษา

1. หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ เปลี่ยนมาใช้เป็นแชมพูเด็ก
2. ในรายที่มีอาการคันมาก ควรใช้พวกแชมพูขจัดรังแคที่มีส่วนผสมของ ketoconazole
3. ควรสระผมเป็นประจำทุกวัน เพราะผมและหนังหัวที่มันก็จะทำให้สิวที่หัวขึ้น
4. อาจใช้พวกโลชั่นที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid ร่วมด้วย
5. ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Benzoyl peroxide กับสิวที่เป็นที่หนังหัว เพราะ BP จะทำให้ผมกลายเป็นสีขาว





สิวที่แผ่นหลัง

สิวที่หลัง

นี่ก็เป็นสิวอีกประเภทที่คนเป็นกันมากน่ะนะคะ ในบางคนจะเป็นที่ตัว ที่ก้น ซึ่งสาเหตุก็มาจากเรื่องเดิมๆคือไขมัน ^^"





สิวที่หลัง มีสาเหตุเหมือนกับสิวที่เกิดบนหน้าค่ะ คือมาจากการผลิตน้ำมันมากไปของต่อมไขมัน และเมื่อมาเจอเข้ากับเซลล์ผิวที่ตายบวกกับแบคทีเรียก็ทำให้เป็นสิว ซึ่งเกิดได้ทั้งอุดตน อักเสบหรือหัวหนอง ในบางคนอาจเป็นที่สะโพกหรือที่ก้นด้วย

สิวที่หลังหรือที่ก้น บางครั้งอาจมีสาเหตุมาจากเสื้อผ้าที่ใส่ฟิตเกินไป หรือการที่ต้องสะพายเป้อยู่บ่อย ๆ การสวมเสื้อผ้าที่อับ ๆ ขณะที่เล่นกีฬา หรืออยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนก็เป็นสาเหตุของสิวบริเวณหลังได้ โดยเฉพาะ การสวมใส่เสื้อผ้าที้มีเนื้อผ้าเป็นลักษณะผสมใยสังเคราะห์ ถ้ารู้ว่าโอกาสเกิดสิวที่หลังบ่อย ๆ ก็ต้องสวมเสื้อผ้า cotton แทน  ความสกปรกของเสื้อผ้า ที่นอนหรือหมอนเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งพวกนี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้เป็นสิวที่หลังได้อ่ะนะคะ

การรักษาสิวที่หลัง

1.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
2.ใช้ AHA ทาทิ้งไว้ให้แห้ง
3.ใช้ Benzoyl peroxide ทาบริเวณที่เป็น

(มีข้อควรระวังนิดนึงค่ะ คือเมื่อเราใช้ Benzoyl peroxide เราควรใส่เสื้อผ้าสีขาวเพราะ BP จะทำให้ผ้าสีตก)



สิวประจำเดือน

มาถึง สิว ประเภทที่คุณผู้ชายไม่มีวันเป็นกันบ้างนะคะ :)

ที่ดิฉันจะหยิบมาฝากกันวันนี้ ก็คือความรู้เรื่องเกี่ยวกับ สิวประจำเดือน หรือสิวที่ขึ้นทุกครั้งที่คุณผู้หญิงของเรามีรอบเดือนนั่นเองค่ะ

สิว ชนิดนี้เป็นอีกประเภทที่คนเป็นกันมาก จะเกิดขึ้นในผู้หญิงในช่วงมีรอบเดือน ทั้งก่อน ช่วงที่มีหรือหลังมี ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บทความนี้ก็จะเป็นข้อมูลว่าสาเหตุของสิวประเภทนี้เกิดจากอะไร ลองอ่านกันดูนะคะ





การค้นคว้าเพื่อยืนยันว่าฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงของประจำเดือนส่งผลให้สิวเพิ่มขึ้น

ในผู้หญิงนั้นจะเกิดขึ้นทุกเดือนเป็นประจำค่ะ ฮอร์โมนช่วงที่ผู้หญิงมีรอบเดือน มักจะทำให้อารมณ์ฉุนเฉียว เหนื่อยเพลีย และเกิดสิวขึ้นได้ จากการค้นคว้าแสดงให้เห็นว่าสิวนั้นอยู่ภายใต้รากฐานของฮอร์โมนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี ยังไม่เคยมีหลักฐานแน่นอนของการค้นคว้าเกี่ยวกับรอบเดือนที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวในผู้หญิง แต่การค้นคว้าล่าสุดได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้หญิงจะประสบกับปัญหาสิวขึ้นก่อนมีรอบเดือน

“บ่อยครั้งสิวที่เกิดในผู้หญิงมีส่วนสัมพันธ์กับฮอร์โมน”

แพทย์ผิวหนัง อลัน อาร์ ชาลิต้า กรรมการบริหาร, ผู้ร่วมงานเขียน “The Effect of the Menstrual Cycle on Acne” ตีพิมพ์เมื่อเดือนธันวาคม 2001 กล่าวไว้เช่นนั้น การค้นคว้านี้เป็นการยืนยันว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีสิวขึ้นก่อนประจำเดือนมา เมื่อประเด็นเรื่องฮอร์โมนมีความสัมพันธ์กับสิวที่เกิดขึ้นกับหญิงก่อนมีประจำเดือน คุณหมอจึงได้ทำการหาวิธีเพื่อยืนยันเรื่องนี้อ่ะนะคะ

ในการศึกษาผู้หญิงจำนวน 400 คนที่ช่วงอายุ 12 ถึง 52 ว่าได้มีสิวขึ้นก่อน ระหว่าง หรือหลังรอบเดือนหรือไม่ หญิงเหล่านั้นได้ถูกแบ่งกลุ่มออกตามอายุ ความรุนแรงของสิว เชื้อชาติ และการรับประทานยาคุมกำเนิดค่ะ 177 จาก 400 คน (44%) แจ้งว่ามีสิวก่อนมีรอบเดือน
ขณะที่การศึกษาพบว่า ความรุนแรงของสิว เชื้อชาติ และการกินยาคุมกำเนิดไม่ได้มีผลกับสิวที่ขึ้นก่อนมีรอบเดือน อายุเป็นปัจจัยหนึ่งของสิว พบว่า 53% ของผู้หญิงอายุ 33 ปีขึ้นไปนั้นมีอัตราการเกิดสิวก่อนรอบเดือนมากกว่าหญิงวัยต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งมีรายงานว่ามีจำนวน 39% เท่านั้นในวัยต่ำกว่า 20 ปีที่เป็นสิวก่อนมีรอบเดือน

สิวที่เกิดขึ้นจากฮอร์โมน นั้น โดยมากมักมีผลมาจากฮอร์โมนแอนโดรเจนในร่างกาย แอนโดรเจนคือฮอร์โมนที่กระตุ้นให้ต่อมน้ำมันผลิตซีบั่มและท่อขุมขนบนผิวหนัง เมื่อต่อมผลิตซีบั่มนั้นถูกกระตุ้นมาก ๆ โดยแอนโดรเจน เมื่ออยู่ในช่วงระหว่างการมีประจำเดือน ผู้หญิงทั้งวัยสาวและสูงอายุก็มีโอกาสเป็นสิวมากขึ้นในช่วงนี้ได้

การศึกษาก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นว่าท่อน้ำมันบนผิวหน้าเปิดเล็กน้อยเมื่อวันที่ 15-20 ของรอบ 28 วัน และจะกว้างมากขึ้นเมื่อวันที่ 21-26 และหดเล็กลงอีกครั้งก่อนประจำเดือนมา 2 วัน โดยเฉลี่ยแล้วก่อนประจำเดือนมาสิวจะขึ้นเยอะเมื่อเข้าวันที่ 22 ของรอบ 28 วัน
สิวที่มากขึ้นระหว่างรอบเดือนนั้นไม่ได้หมายความถึงอายุที่มากขึ้นนะคะ “ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุดจะดีกว่า” เธอกล่าว

สำหรับในรายที่เป็นไม่มากเช่นขึ้นมา 1 เม็ด 2 เม็ด ใช้พวกยาแต้มสิวธรรมดาก็ได้ค่ะ เช่น Clindamycin, tea tree oil, หรือน้ำแข็งประคบลดการอักเสบก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าขึ้นมามากๆ อาจต้องปรึกษาแพทย์ หรือใช้พวก BP, กรดวิตามินเอ ทาเป็นประจำในบริเวณที่เป็นอ่ะนะคะ



ขอบคุณที่มา : http://www.acnethai.com/



สิวผู้ใหญ่ หรือสิวฮอร์โมน

เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ตราบใดที่เรายังมีฮอร์โมนอยู่ ตราบนั้นเราก็ยังมีสิทธิ์เป็น สิว มั้ยคะ

คำกล่าวนั้นมี่ส่วนจริงอยู่ค่อนข้างมากค่ะ บล้อกตอนนี้จะพาทุกท่านมารู้จักกับปัญหาสิวในวัยผู้ใหญ่ หรือ สิวฮอร์โมน กัน มาดูกันนะคะ ว่าสิวประเภทนี้มีสาเหตุมาจากอะไร และมีวิธีดูแลรักษาอย่างไรบ้าง




สิวผู้ใหญ่ หรือสิวฮอร์โมนนี้ จะเป็นในช่วงอายุ 20 หรือ 30 ปีค่ะ แต่จะเป็นไม่มาก และอาจจะขึ้นมาอักเสบนิดหน่อยครั้งละไม่กี่เม็ด ผู้หญิงส่วนมากจะเป็นกันในช่วงก่อนมีประจำเดือน สำหรับใครที่เป็นอาจจะต้องใช้ยาอื่นร่วมด้วยนอกจากยาทาอย่างเดียว


สิวในผู้ใหญ่ & สิวฮอร์โมน มีอาการอย่างไร

สิวที่เกิดจากฮอร์โมนนั้น เกิดขึ้นกับผู้หญิงเป็นล้าน ๆ คนหรืออาจะหลายพันล้านคนบนโลกใบนี้ค่ะ โดยจะมาเป็นประจำทุกเดือน เช่น ตัวบวม, อารมณ์แปรปรวน และสิว

ผู้เชี่ยวชาญทราบว่าสิวมีผลจากฮอร์โมน แต่งานวิจัยที่เกี่ยวเนื่องกันนั้นมีค่อนข้างน้อย จนกระทั่งปัจจุบันการศึกษาจากแพทย์ผิวหนัง อลัน ชาลิต้า ยืนยันว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้หญิงทั้งหมดนั้นมีสิวขึ้นก่อนการมีรอบเดือนทั้งนั้น

สิวที่เกิดจากฮอร์โมนอาจไม่ประสบความสำเร็จในการรักษาด้วยวิธีดั้งเดิม เช่นการใช้เรตินอยด์ และยาปฎิชีวนะ ดังนั้นหากสามารถบอกลักษณะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสิวให้แพทย์ฟังได้จะเป็นการช่วยในการรักษาได้ ตัวอย่างเช่น

สิวที่ขึ้นเม็ดแรก หรือการเกิดสิวครั้งแรกในวัยผู้ใหญ่
สิวที่ขึ้นก่อนการมีประจำเดือน
ประวัติการมีรอบเดือนที่ไม่ปกติ
ความมันบนใบหน้าที่เพิ่มขึ้น
ภาวะการณ์มีขนดก (ขนที่ขึ้นมากเกิน หรือขึ้นในที่ที่ไม่ควรขึ้น)
ระดับแอนโดรเจนในเลือดที่สูงขึ้น

สิวที่เกิดจากฮอร์โมนมักเริ่มต้นเมื่ออายุประมาณ 20-25 ค่ะ สามารถเกิดได้ทั้งกับวัยรุ่นและหญิงในวัยผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป และมักจะเกิดสิวในบริเวณส่วนล่างของใบหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณกรามและคาง ในขณะที่บางคนเกิดสิวที่บริเวณหน้าอกและแผ่นหลัง สิวจากฮอร์โมนโดยปกติแล้วจะเป็นสิวปานกลางและไม่ค่อยอักเสบ หรือหากอักเสบก็เพียงเล็กน้อย เป็นสิวอักเสบเม็ดเล็ก ๆ และพวกสิวเสี้ยน




แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ ?

สิวฮอร์โมนในผู้ใหญ่ – วัยหนุ่มสาวนั้น : เริ่มเกิดขึ้นในช่วงก่อนวัยรุ่น (อายุประมาณ 9-10 ปี) ต่อมหมวกไตเริ่มผลิตฮอร์โมน dihydroepiandrosterone (DHEAS) และแอนโดรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่ทำงานในร่างกายของผู้หญิง เช่น เทสโตสเตอโรน และ ดีไฮโดรเทสโตสเตอโรน (DHT) เป็นสาเหตุให้เกิดสิวเม็ดแรกในวัยหนุ่มสาว

ฮอร์โมนทั้งหลายนี้จะไปกระตุ้นการหลั่งของต่อมไขมันตามธรรมชาติของผิว หรือซีบั่มในปริมาณที่มากขึ้น นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมวัยรุ่นจึงมีผิวมันและเป็นสิว โดยธรรมชาติแล้วเด็กผู้ชายจะมีฮอร์โมนเพศชายมากกว่า ดังนั้นวัยรุ่นที่เป็นสิวส่วนมากเป็นชาย

วิธีการรักษาสิวในวัยรุ่น นั้น ค่อนข้างยากและท้าทายความสามารถของแพทย์ผิวหนังพอสมควรค่ะ เพราะฮอร์โมนของพวกเค้านั้น ยังออกมาอย่างต่อเนื่อง บางทีอาจตอบสนองได้ดีกับการรักษาครั้งแรก ๆ เช่นการรักษาโดยใช้เรตินอยด์ และ เบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ บางทีอาจใช้ร่วมกับการกินยาปฎิชีวนะ แต่เมื่อร่างกายเขาเหล่านั้นพัฒนาขึ้น ก็อาจเกิดสภาวะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและอาจหยุดตอบสนองการรักษาดังกล่าว สูตรการรักษาจึงอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนบ่อยสำหรับผู้ป่วยในวัยรุ่นเพื่อให้เหมาะสมกับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

สิวฮอร์โมนนั้น เกี่ยวพันกับรอบเดือนของคุณสาว ๆ ด้วยค่ะ ผู้หญิงหญิงหลาย ๆ คนผ่านเข้าสู่ช่วงเป็นผู้ใหญ่โดยไม่เป็นสิว คนอื่น ๆ อาจไม่เป็นจนกระทั่งอายุ 20 หรือ 30, อาจเป็นสิวก่อนประจำเดือนมา... ทำไมงั้นหรือคะ? ระหว่างรอบเดือนปกติ (หากหญิงผู้นั้นไม่ได้ใช้ยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนใด ๆ) ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะขึ้นสูงที่สุดที่กลางรอบเดือน แล้วลดต่ำลงจนใกล้ถึงช่วงประจำเดือนมา หลังจากการผลิตไข่ รังไข่จะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งที่กระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากเกินจนเกิดสิว ฮอร์โมนที่ว่านี้มีผลกับหญิงที่ตั้งครรภ์ด้วย ต่อมไขมันจะผลิตน้ำมันมากในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ทำให้หน้ามันและเกิดสิว หญิงบางคนเป็นสิวในช่วงวัยหมดประจำเดือน เมื่อระดับเอสโตรเจนเริ่มลดลง และฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนกลายเป็นฮอร์โมนหลัก

จะ รักษาสิวฮอร์โมน อย่างไรได้บ้าง? 

ด๊อกเตอร์ชาลิต้ากล่าวไว้ว่า ทัศนคติที่ว่า“รอ และดู” นั้นไม่มีผลและไม่เกิดผลใด ๆ กับสิวฮอร์โมน สิวที่เกิดขึ้นระหว่างรอบเดือนของผู้หญิงไม่ได้แปลว่าพวกเขาโตขึ้น ดังนั้นการพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาวิธีการรักษาสิวที่ขึ้นมานั้นคือวิธีที่ดีที่สุดแต่ก็มีอีกหลายวิธีให้เลือก อาจเป็นวิธีง่าย ๆ เช่นการควบคุมรอบเดือนโดยการกินยาคุมกำเนิด หรือใช้วิธีดังกล่าวร่วมกับวิธีการรักษาอื่น ๆ ดังนั้นผู้ที่เป็นสิวประเภทนี้ จึงควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาและบรรเทาอาการอ่ะนะคะ



ขอบคุณที่มา : http://www.acnethai.com/




สิวในเด็ก

ลูก คือดวงใจอ่ะนะคะ คุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะเคยเห็นลูก ๆ ของเรามีตุ่ม ๆ ที่หน้าตอนเกิดออกมา แต่ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะนั่นคือ สิว ซึ่งอาจเกิดจากการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกตอนช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์ สิวในเด็กจะเกิดขึ้นมาและหายไปเอง แต่หากไม่หายไปควรพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อรักษากันต่อไปอ่ะนะคะ


อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นค่ะ ว่า สิวในเด็ก นี้ จะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างร่างกายของคุณกับลูกของคุณ ในช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์ จะเกิดการเชื่อมฮอร์โมนจากรกไปสู่ลูกของคุณ ซึ่งจะกระตุ้นต่อมไขมันในผิวของลูก และทำให้เกิดสิวในเด็กขึ้นกับลูกของคุณได้





สิวเม็ดแดง ๆ นี้จะมีให้เห็นตั้งแต่ตอนเกิดค่ะ แต่ส่วนมากแล้วจะเห็นเมื่อเด็กมีอายุในช่วง 3-4 สัปดาห์ บริเวณที่เกิดขึ้นมากที่สุดได้แก่แก้ม แต่ก็พบได้ในบริเวณหน้าผากและคาง ในบางครั้งมีสิวหัวขาวร่วมด้วย อาการนี้จะเกิดขึ้นและหายไปเมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 4-6 เดือน

สิวนี้จะเห็นได้ชัดเจนเมื่อลูกรู้สึกร้อนและหงุดหงิด (เมื่อมีการไหลเวียนของเลือดที่ผิวหนังเพิ่มขึ้น) หรือเมื่อผิวหนังมีการระคายเคือง หากผิวของเด็กสัมผัสกับเสื้อผ้าที่ซักด้วยผงซักฟอกที่รุนแรง หรือเปียกน้ำลายหรือนมที่เด็กคายออกมา อาการก็จะมากขึ้นเป็นเวลาหลายวัน

วิธีดูแลรักษา

ควรใช้น้ำทำความสะอาดผิวหน้าให้เด็กวันละหนึ่งครั้งอย่างเบามือ หรืออาจใช้สบู่อ่อนสำหรับเด็ก น้ำมันหรือโลชั่นไม่มีผลใด ๆ ที่จะช่วยให้ดีขึ้น และอาจทำให้แย่ลงกว่าเดิม หากสิวนั้นเป็นมากขึ้นหรือเป็นนานกว่า 6 เดือน ควรพบกุมารแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสมในการรักษาต่อไปอ่ะนะคะ



ขอบคุณที่มา : http://www.acnethai.com/

ปัญหาสิว

สิว พบได้ทั่วไปในคนทุกวัยแต่จะพบมากในช่วงวัยรุ่นไปจนถึงวัยหนุ่มสาวน่ะนะคะ สิวสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท หลายสาเหตุ และมีวิธีรักษาให้หายหรือทุเลาต่าง ๆ กันไปค่ะ วันนี้เราจะมารู้จักกับสิวประเภทแรก ซึ่งเป็นสิวที่พบไม่บ่อยนักในคนหนุ่มสาว แต่จะพบได้ค่อนข้างมากในเด็กแรกเกิด และส่วนใหญ่สิวประเภทนี้จะขึ้นบริเวณโหนกแก้ม จมูก และรอบดวงตาค่ะ




เรากำลังพูดถึงอาการสิว ที่เรียกว่า milia อ่ะนะคะ

สิวประเภท milia นี้เกิดขึ้นได้จากการรวมตัวของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ที่ไม่ยอมหลุดออกไปตามธรรมชาติร่วมกับต่อมไขมันที่ปล่อยไขมันออกมาบนผิวหน้าค่ะ โดยสาเหตุของการเกิด Milia นั้น มักจะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1.การใช้เครื่องสำอางที่หนา หนัก หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพต่ำ ที่ไม่เหมาะกับผิว เซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดออกไปไม่ได้

2.ตากแดดนานเกินไป มีผลทำให้ผิวหนาขึ้น ทำให้กระบวนการผลัดผิวเป็นไปได้ยาก

3.ใช้ผ้าหยาบหนา หรือผ้าปูที่นอนที่เป็นลินินหยาบ ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเด็กทารก มีผลทำให้เกิด Milia

ปกติแล้วอาการ Milia ในเด็กทารกนั้นจะหายไปได้เองภายในสัปดาห์แรก ๆ ของการคลอด แต่ในผู้ใหญ่แล้ว ปัญหานี้อาจกินเวลายาวนานหรืออาจเป็นไปเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด แต่การรักษาก็สามารถช่วยบรรเทาให้ผิวดูดีขึ้นได้บ้าง

ลักษณะสิวและอาการ

Milia จะมีลักษณะ เป็นตุ่มนูนบนผิวสีขาวมุกค่ะส่วนใหญ่มักเป็นบริเวณโหนกแก้ม จมูก คาง รอบดวงตา อีกทั้งยังสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปตามร่างกายด้วย




วิธีการรักษา

- ในเด็ก ๆ นั้นไม่มีความจำเป็นต้องรักษาโดยทางการแพทย์ค่ะ เพราะจะสามารถหายไปได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ โดยไม่ทิ้งรอยแผลใด ๆ

- ในผู้ใหญ่นั้นจะกำจัดตุ่มขาวนี้ออกไปได้ด้วยการกดออก แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้จำเป็น

- หากว่าเป็นผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็น Milia ก็ควรที่จะใช้ ผลิตภัณฑ์ ผลัดเซลล์ผิว เป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้น ดังกล่าวมาแล้ว

- การลอกผิวหน้าที่ทำการตามคลินิกโดยใช้ AHA ความเข้มข้นสูง ก็สามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ และยังช่วยทำความสะอาดรูขุมขน แต่ก็ควรเลือกสถานบริการที่สะอาดและได้มาตรฐานด้วยน่ะนะคะ

วิธีการป้องกัน Milia


- วิธีการป้องกันการเกิด milia ที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารที่อุดตันและหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดค่ะ

- เพื่อเป็นการลดจำนวนการเกิด milia รอบดวงตา ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาที่มีส่วนผสมที่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวรอบดวงตา ควรสัมผัสรอบดวงตาด้วยความเบามือ และหลีกเลี่ยงการถู หรือขยี้ตา ซึ่งเป็นการทำลายผิวรอบดวงตา

- เวลาที่แปรงฟัน พยายามให้ฟองยาสีฟันติดรอบปากให้น้อยที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฟลูออไรด์ อันเป็นตัวหนึ่งที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองบนผิวหนัง

- ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีส่วนประกอบน้อยตัวที่สุด ส่วนประกอบพิเศษเช่น น้ำหอม อาจทำให้ระคายเคืองผิว ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดชนิดที่เป็น Physical ที่มีส่วนประกอบหลักเป็น titanium oxide หรือ zinc oxide

วิธีการรักษาด้วยตนเอง

ประการแรกก่อนที่จะเริ่มการรักษาด้วยตนเอง ... ควรแน่ใจเสียก่อนนะคะ ว่าสิวหัวขาวนี้ไม่ได้เกิดจากโรคหรืออาการเจ็บป่วยอื่น ๆ โดยสามารถกดสิว milia นี้ได้ด้วยตนเอง แต่อาจมีปัญหาในการกดเม็ดสิวแข็งนี้ เนื่องจากขั้นตอนนี้ค่อนข้างเจ็บ ลองทดลองตามวิธีการดังต่อไปนี้

1. ล้างหน้าและมือให้สะอาด
2. ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นแล้วโปะไว้ที่ใบหน้าสักพัก (ประมาณ 5-10 นาที)
3. ค่อยๆ ใช้เข็มที่ฆ่าเชื้อแล้ว จิ้มลงไปที่กลางสิวเบาๆ เพื่อให้เกิดรูเล็กๆ ขึ้นบนผิว
4. ห่อกระดาษทิชชู่ที่สะอาดเข้าที่นิ้วมือที่จะใช้กด แล้วค่อย ๆ ดันนิ้วเข้าหากันเบา ๆ เพื่อเค้นให้หัวขาวนั้นออกมา
5. จากนั้นทำความสะอาดผิวบริเวณที่กด milia ออกค่ะ

ขอบคุณ ที่มา : http://www.acnethai.com/

รู้จักกับสภาพผิว ตอนที่ 1



เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเรามีทางเลือกในการบำรุงรักษา ความงาม ของตัวเองกันหลายหลากวิธียิ่งขึ้นนะคะ บล้อกนี้ขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเลือกสรร เคล็ดลับ นวัติกรรม การชะลอวัย รวมไปถึง วิธีการรักษาความงาม ที่เหมาะกับผู้หญิงทุกคน เพื่อให้ความสวยงามและบุคลิกที่ดูดีนั้นอยู่กับเราไปได้อีกนาน ๆ ค่ะ


วันนี้จะเริ่มต้นด้วยการแนะนำ ประเภทของผิวพรรณ ให้ทุกท่านได้รู้จักสภาพผิวของเรากันก่อนนะคะ



สภาพผิวพรรณของคนเรานั้น แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้ค่ะ


- ผิวมัน
- ผิวผสม
- ผิวแห้ง
- ผิวธรรมดา


แล้วผิวแต่ละประเภทต่างกันอย่างไรล่ะ

- ผู้ที่มี ผิวมัน ใบหน้าจะมีความมันวาวทั่วทั้งใบหน้าเนื่องจากผิวขับน้ำมันออกมามาก

- ผิวผสม เป็นผิวหน้าที่มีความมันเฉพาะส่วนทีโซนคือ หน้าผาก จมูก  และมีผิวแห้งในส่วนยูโซน คือ บริเวณคางและแก้ม

- ผิวแห้ง ผิวจะแห้งทั่วทั้งใบหน้า รูขุมขนดูเล็ก น้ำมันที่เคลือบผิวน้อย ผิวประเภทนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษค่ะ เพราะจะเกิดริ้วรอยได้ง่าย

- ผิวธรรมดา ผิวในอุดมคติของสาวหลายๆ คนค่ะ คือ ไม่มันและไม่แห้งตึง





วิธีแยกประเภทของผิว

หลังการล้างหน้าประมาณ 20 นาที ยังไม่ต้องทาเครื่องสำอางใด ๆ นะคะ ให้สังเกต
น้ำมันที่ขับออกมาตามธรรมชาติ เพราะน้ำมันเป็นตัวบอก ว่าเรามีผิวแบบไหน
แต่ เราไม่อาจจะระบุได้ว่าผิวจะเป็นแบบไหนตลอดไป เพราะสภาพผิวหน้านั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามสภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม อายุ และสุขภาพด้วยค่ะ


การดูแลผิวหน้าแต่ละประเภท

"ผิวมัน"  เป็นผิวที่ต่อมไขมันทำงานเต็มรูปแบบ มักมีข้อเสียที่สาวๆหลายๆคนไม่ชอบคือ รูขุมขนดูกว้าง เกิดสิวบ่อย และทาเครื่องสำอางไม่ค่อยติดค่ะ แต่มีข้อดีที่สาวๆฝันหา คือ การเกิดริ้วรอยช้า หรือแก่ช้านั้นเอง เนื่องจากมีความชุ่มชื้นอยู่มาก
ผู้ที่มีผิวมันนั้น ควรล้างหน้าให้สะอาดทั้งเช้า และเย็น หมั่นขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งอุดตันรูขุมขนออก และในระหว่างวันควรใช้กระดาษซับมัน คอยซับน้ำมันส่วนเกินออกจากใบหน้า ไม่ควรจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มากเกินความจำเป็นค่ะ หากจะใช้ครีมบำรุงผิว ก็ควรเลือกแบบที่บางเบาสุด ๆ เอาไว้ก่อนอย่างเช่นพวก Serum Type ที่มักจะเป็นเบสน้ำ เจล หรือซิลิโคนอ่ะนะคะ

"ผิวแห้ง" ผิวประเภทนี้ขาดความชุ่มชื้นมากเป็นพิเศษค่ะ จึงแห้งแตกและลอกเป็นขุยได้ง่ายผู้ที่มีผิวแห้ง ไม่ควรล้างหน้าแรงเกินไป หรือใช้สครับขัดผิวหน้าบ่อยๆ และควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ควรนวดหน้าอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้ต่อมไขมัน ใต้ผิวหนังทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ควรหามอยซ์เจอไรเซอร์ที่ช่วยเคลือบผิว มีน้ำมันหรือ Emollients ช่วยทำให้ผิวนุ่มลื่นขึ้นค่ะ

"ผิวผสม" เป็นผิวที่มีน้ำมันในบริเวณจมูกกับหน้าผาก(ทีโซน) ส่วนบริเวณแก้มและคาง(ยูโซน) กลับแห้งค่ะ สาวที่มีผิวหน้าแบบนี้ ไม่ควรดูแลผิวทั้งหน้าโดยใช้วิธีเดียวนะคะ แต่ควรแบ่งการดูแลผิวหน้าไปตามสภาพ เช่น ควรปรับความมันของผิวบริเวณทีโซนด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผิวมัน และขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังควรเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวบริเวณยูโซน ด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผิวแห้งอีกด้วย


"ผิวธรรมดา" เป็นผิวที่สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาผิวทั้งสี่ประเภทค่ะ สามารถหาผลิตภัณฑ์ใช้ได้ง่ายไม่ยุ่งยาก แต่ก็มีคนจำนวนน้อยมากที่มีผิวแบบนี้ พยายามอย่าใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองหรือรุนแรงเกินไป เพราะจะทำให้ผิวเสียสมดุลได้นะคะ

คราวหน้าเราจะมารู้จักกับ "ปัญหาผิวพรรณ" ของเรากันค่ะ ว่าปัญหาที่เราต้องเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็น สิว ฝ้า กระ หรือรอยเหี่ยวย่น มีสาเหตุมาจากอะไร และสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีใดบ้าง อย่าลืมกลับมาติดตามชมกันต่อไปนะคะ

เรื่องน่าอ่าน