สิวอักเสบ สามารถแบ่งได้เป็น
สิวนูนแดง (Papule)
สิวหัวหนอง (pustule)
สิวหัวช้าง (acne conglobata)
และมักเกิดแผลเป็นเมื่อสิวหาย
ผลข้างเคียงที่เกิดจากสิวอักเสบ มักเกิดได้บ่อยถ้าไม่รีบรักษาก็คือ
1.รอยดำจากสิว
2.รอยแดงช้ำ ซึ่งจะอยู่ได้นานเป็นเดือน ๆ เชียวค่ะ
3.รอยหลุมจากสิว หรือ Icepick-scar
การรักษาสิวอักเสบ แบ่งได้ตามนี้ค่ะ
1. Benzoyl peroxide
เป็นตัวยาที่ลดจำนวนเชื้อแบคทีเรีย P.acne และลดการอักเสบได้ดี 50-70% ของสิว มักอยู่ในรูปของครีมหรือเจล ความเข้มข้นตั้งแต่ 2.5-5% BP นี้มักทาทิ้งไว้ 5-10 นาทีแล้วล้างออก เนื่องจากมีการระคายเคืองถ้าทาทิ้งไว้ อาจทำให้ผิวหน้าแสบ แดง และแห้งเป็นขุยได้ มักใช้รักษาสิวอักเสบนูนแดงได้ดี
2. Antibiotics (ยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้อักเสบ) มีอยู่หลายตัวค่ะ อาจอยู่ในรูปโลชั่น ครีม หรือยารับประทานที่ใช้ในการกำจัดเชื้อสิว P.acne
3. ยาคุมกำเนิด มักใช้เฉพาะในผู้หญิง เพื่อควบคุมสิวที่เกิดจากฮอร์โมนเพศ
4. ยารับประทานต้านฮอร์โมนเพศชาย แอนโดรเจน ที่ใช้บ่อยคือ spironolactone มักให้เฉพาะในผู้หญิงเช่นกัน
5. Azeleic acid มักใช้ในรูปของยาทา 20% Azeleic acid (Skinoren) มักใช้ในระยะแรก แต่อาจระคายเคืองได้
6. ยากลุ่ม Retinoids เช่น Roaccutane,Isotretinoin ใช้รักษาได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบรุนแรง ที่ไม่ตอบสนองหรือดื้อต่อยาแก้อักเสบ หรือยาปฏิชีวนะในข้อ 2. แต่ยาค่อนข้างมีราคาแพง และห้ามใช้ในสตรีมีครร์ หรือถ้าใช้อยู่ ก็ให้หยุดยาก่อนการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือนอ่ะนะคะ
7. การฉีดสิว กรณีที่สิวอักเสบรุนแรง นูนแดง เจ็บ สิวหัวช้าง เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็น ทำให้สิวหายเร็วขึ้น ควรทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากอาจเกิดรอยหลุมแผลเป็นจากยาได้
8. การรักษาสิวอักเสบด้วยคลื่นแสง (Acne Photo clearing) โดยเครื่องมือ Clearlight ซึ่งเป็นวิวัฒนาการด้านผิวพรรณที่ทันสมัยและกำลังเป็นที่นิยมในต่างประเทศ การรักษาด้วยวิธีนี้เมื่อเปรียบเทียบกันวิธีอื่น พบว่าคนไข้จะหายจากอาการสิวได้ในระยะเวลาที่สั้นกว่าปกติ แต่ก็มีราคาแพง และต้องมีเวลาว่างไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาเป็นประจำค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://ir-beautina.info/inflammatory-ance